ผลงานของนักเขียนถนัดซ้ายผู้ด้อยพัฒนา
ปัญหาหนึ่งในศิลปะการเขียนเรื่องสั้นที่ดำรงอยู่ในทุกสมัยก็คือ
จะทำให้ “สิ่งที่ไม่ได้เขียน” นั้น
ปรากฏขึ้นได้อย่างไร
ผู้เขียนเรื่องสั้นจะต้องแสวงหาหนทางในการทำให้ผู้อ่านรู้ในสิ่งที่ตนอยากจะบอกแต่บอกไม่ได้
เพราะการบอกนั้นจะลดทอนเนื้อหาของสิ่งที่จะบอก หรือแม้แต่ทำลายความเป็นศิลปะในเรื่องสั้นลงให้กลายเป็นเพียงนิทานสอนใจ
(อันที่จริง แม้แต่นิทานสอนใจ
ก็ยังแสวงหาชั้นเชิงในการบอกเล่าเพื่อให้ผู้อ่านรู้สิ่งที่ต้องการ “สอน”
เพียงแต่มีการเฉลยในตอนจบเพื่อประกันว่าสิ่งที่ผู้อ่านหรือผู้ฟังจะต้อง
“รู้” นั้นคือสิ่งเดียวกัน)
รวมเรื่องสั้น ผลงานของนักเขียนถนัดซ้ายผู้ด้อยพัฒนา
ของ วรวิช ทรัพย์ทวีแสง ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการที่จะ “ไม่บอก”
ผู้อ่าน จนดูเหมือนจะข้ามเส้นไปสู่การ “ไม่มีอะไรจะบอก”
คำถามแรกจากผู้อ่านที่จะผู้เขียนจะต้องเผชิญจึงคือ
“เขียนมาให้อ่านทำไม?” เพราะข้อตกลงข้อแรกในการอ่านเรื่องสั้นระหว่างผู้อ่านและผู้เขียนก็คือ
ผู้เขียนเขียนเรื่องออกมาให้ผู้อ่าน ๆ ก็เพื่อจะ “บอก”
อะไรสักอย่าง ถ้าไม่มีอะไรจะบอก แล้วจะเขียนมาให้อ่านทำไม (วะ) ?
“ผมไม่ได้เขียนรหัสมาให้ถอด
ถึงต้องมีเฉลยว่าสิ่งที่ผมจะบอกคืออะไรอย่างไร แล้วบอกว่าถูกต้อง”
ข้างต้นเป็นบางส่วนจากบทสัมภาษณ์วรวิช
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 2 มกราคม 2554
คำกล่าวนี้มักได้ยินได้ฟังจากนักเขียนอยู่บ่อยครั้ง แต่มันก็เป็นเพียง “ท่าที”
หรือ “การแสดงออก” อย่างหนึ่ง
เพราะไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ถ้าไม่มีอะไรจะบอก (จริง ๆ) แล้วเขียนมาให้อ่านทำไม?
เพราะงานเขียนในกรณีที่เป็นงานเขียนสาธารณะนั้น
ผู้เขียนย่อมคาดหวังการตอบสนองจากผู้อื่น อย่างน้อยก็คือ “การอ่าน”
ผู้เขียนไม่ได้เขียนออกมาเฉย ๆ ไม่ได้เขียนเสร็จก็เผาทิ้ง
หรือเก็บไว้ในลิ้นชัก แต่ได้ทำการเผยแพร่ และแม้แต่ใช้พลังอย่างมากมายเพื่อจะเผยแพร่ข้อเขียนออกไปสู่สาธารณะ
ความเป็นไปของกิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมด
ล้วนตั้งอยู่บนข้อตกลงระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านว่า
ผู้เขียนต้องการเสนออะไรบางอย่างซึ่งมากไปกว่าแค่กระดาษสี่เหลี่ยมเอามาเย็บติดกันเป็นเล่ม
อย่างไรก็ตามในบทสัมภาษณ์ชิ้นเดียวกันนี้ วรวิชก็ได้ขยายความเพิ่มว่า
“ผมอยากให้ผู้อ่านถามตัวเองมากกว่า
ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร หรือได้รับอะไรไป
นั่นก็คงเป็นสิ่งที่เรื่องสั้นของผมทำหน้าที่ คือสื่อความนั้นๆไปถึงผู้อ่าน
ซึ่งบางทีผมไม่ได้คิดถึงตรงนั้นด้วยซ้ำ
ถ้าคนอ่านอ่านงานผมแล้วเห็นความคิดตัวเองนั่นผมถือว่างานผมได้ทำหน้าที่ได้อย่างดีแล้ว”
จากคำตอบข้างต้น ทำให้เห็นว่า “อะไรบางอย่าง”
ที่วรวิชต้องการเสนอกับผู้อ่านนั้น ไม่สามารถ “บอก”
ได้ เพราะสิ่งที่ผู้เขียนต้องการเสนอจริง ๆ คือ “กระบวนในการขบคิด
(โดยตัวของผู้อ่านเอง)”
เงื่อนไขของการ “มีอะไรบางอย่างจะบอก”
นั้น กล่าวได้ว่าเป็นพันธกรณีระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน
โดยเฉพาะในกรณีของเรื่องสั้น พันธกรณีนี้ยังมีความพิเศษขึ้นไปอีก กล่าวคือ
นอกจากผู้อ่านจะคาดหวัง “อะไรบางอย่างที่ผู้เขียนจะบอก” แล้ว
ผู้อ่านยังคาดหวังอีกด้วยว่า อะไรบางอย่างนั้นจะถูกบอกเล่า “อย่างไร” และสิ่งนี้ก็ขับเคลื่อนพัฒนาการของศิลปะการเขียนเรื่องสั้นให้มีความเปลี่ยนแปลงในส่วนของชั้นเชิงการเล่าเรื่องมาโดยตลอด
จนกระทั่งเกิดการสั่นสะเทือนในแวดวงทางปัญญาครั้งใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ปรัชญาความคิดเกี่ยวกับ “ความจริงที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว”
หรือ “ความจริงแท้” ได้ถูกสั่นคลอนละส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์หนึ่งในแวดวงการเขียนเรื่องสั้น
ก็คือ การเขียนในสิ่งที่ไม่มีอะไรจะบอก
แต่แม้ว่าการเขียนในสิ่งที่ไม่มีอะไรจะบอกได้สะท้อนให้เห็นการแตกสลายของความจริงสูงสุดในทางปรัชญา
แต่เนื้อหาสาระของสิ่งนี้โดยตัวของมันเองก็อนุญาตให้กระทำได้เพียง “ครั้งแรก”
ครั้งเดียวเท่านั้น (original) เพราะการเขียน “สิ่งที่ไม่มีอะไรจะบอก”
ซ้ำ ๆ ซาก ๆ โดยไม่ก่อให้เกิดความหมายอะไรใหม่
คือการผลิตซ้ำที่ไร้ความหมายและต่อต้านปรัชญาของตัวมันเอง
(กลายเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่มันโจมตี) และคนอ่านก็อาจตอบว่า “กูรู้แล้วโว้ย
(ว่ามึงไม่มีอะไรจะบอก) บอกครั้งเดียวก็พอ” ดังนั้นผลสะเทือนของกระบวนการสร้างสรรค์นี้จึงส่งให้องค์ประธานของการเฉลยกระดอนจาก
“ผู้เขียน” มาเป็น
“ผู้อ่าน” โดยผู้เขียนลดทอนฐานะในพิธีกรรมการอ่านจากการเป็นผู้ให้ความหมายมาสู่การเป็นเพียง
“ผู้ตระเตียมตัวบท” และเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่ของกระบวนการสร้างความหมายให้กับผู้อ่านเท่านั้น
ทว่า ผลงานของนักเขียนถนัดซ้ายผู้ด้อยพัฒนา
ไม่มีอะไรจะบอกจริง ๆ หรือ?
สังเกตได้ว่า แม้แต่นัยของชื่อหนังสือ
ก็แสดงให้เห็นว่ามี “อะไรบางอย่าง” ที่จะบอก
และผู้อ่านก็สามารถรู้โดยนัยได้ในทันที อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องรู้ว่า
เรื่องสั้นเล่มนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง หรืออย่างน้อยก็จะต้องมีความเชื่อมโยงอย่างใดอย่างหนึ่งกับการเมือง
สิ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจที่สุดในการอ่านรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ก็คือ
มันเป็นรวมเรื่องสั้นที่มีลีลาการเขียนที่ “ไม่บอก”
หรือเขียนโดยลดทอนสิ่งที่จะบอกลงให้น้อยที่สุด
ในบริบทการเมืองไทยแบบยุคกลางที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ “ไม่สามารถจะเขียน”
ได้ ดังนั้น
การลดทอนสิ่งที่เขียนได้ตามปรกติมาสู่การ “ไม่เขียน” จึงทำให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่าง
“สิ่งที่เขียนได้ตามปรกติ” กับ
“สิ่งที่ไม่สามารถเขียนได้เป็นอันขาด” ไม่ว่ามันจะเป็นความบังเอิญหรือความจงใจทางศิลปะ
แต่มันก็ยังคงเป็นการประจวบเหมาะที่น่าอัศจรรย์อยู่ดีสำหรับการเขียน-อ่านเรื่องสั้น
ณ ขณะนี้ และอำนาจย่อมขึ้นอยู่กับผู้อ่านว่าจะทำให้ “สิ่งที่เขียนไม่ได้”
เปล่งความหมายออกมาหรือไม่ในท่ามกลางสิ่งที่เขียนได้แต่ไม่ได้เขียน
Comments
Post a Comment