My Name is Red - ข้าสั่งให้โลกมีชีวิต
หนังสือเล่มนี้โปรยปก (พิมพ์ครั้งแรก) ไว้ว่า
“ฆาตกรรมซ่อนเงื่อนลึกลับ
ท่ามกลางมนตร์ขลังแห่งอำนาจและศาสนา” นอกจากนี้แล้ว
ตัวเรื่องได้ท้าทายผู้อ่านตั้งแต่บทแรกให้ค้นหาว่า “ใครคือฆาตกร”
กระนั้น
ผมไม่คิดว่านักอ่านวรรณกรรมแนวรหัสคดีจะพึงพอใจ
อันที่จริง
หากพวกเขามีสมาธิก็จะสามารถเดาได้ว่าใครคือฆาตกรเมื่ออ่านไปเพียงเศษ 1 ส่วน 4
ของเล่มเท่านั้น นิยายเรื่องนี้ไม่มีการหักมุม
ร่องรอยของฆาตกรปรากฏขึ้นและสอดรับกันอย่างมีเหตุมีผล ผู้อ่านเพียงใช้วิธีพื้น ๆ
เท่านั้นก็สามารถระบุตัวฆาตกรได้ไม่ยาก นอกจากจะเสียสมาธิ
หรือหันไปติดตามเรื่องราวอื่นซึ่งน่าสนใจยิ่งกว่า
เมื่ออ่านจนจบผู้อ่านจะพบว่า
คำถามว่า “ใครคือฆาตกร” นั้นน่าสนใจน้อยกว่าคำถามเกี่ยวกับชะตากรรมของฆาตกร
จุดจบของฆาตกรคือสิ่งที่พัวพันกับแก่นเรื่องของนิยายยิ่งกว่า
คือการแสดงให้เห็นลีลาคลี่คลายของเหตุการณ์ที่มีความสลักสำคัญอย่างแท้จริง
คือปลายทางของปมซึ่งรัดรึงกันอย่างซับซ้อน
เป็นลวดลายสุดท้ายของเหตุการณ์ที่ถักทอซึ่งกันและกันมาตั้งแต่ต้นเรื่อง
ขณะเดียวกัน
ในส่วนปมรักของตัวละครหลัก My Name is Red จบลงอย่างน้ำเน่าที่พยายามจะกลบเกลื่อนกลิ่นของตน
My Name is Red ประกอบด้วย 59 บท
แต่ละบทดำเนินเรื่องด้วยมุมมองเอกพจน์บุรุษที่หนึ่ง ตัวละครต่าง ๆ
ผลัดเวียนกันมาเล่าเรื่องของตนให้ผู้อ่านฟัง
โดยตัวละครเหล่านั้นนอกจากคนแล้วยังประกอบไปด้วย ศพ, หมา, ต้นไม้, เหรียญทอง, มัจจุราช, สีแดง, ม้า, ซาตาน
และรวมถึงตัวฆาตกรเองด้วย
ความชาญฉาดของวิธีการดำเนินเรื่องดังกล่าวคือ ผู้เขียนสามารถละเมิดความ “สมจริง” ของเรื่องเล่าแบบสัจนิยม
(Realism) ได้โดยที่ยังสามารถรักษาน้ำหนักของความสมจริงดังกล่าวเอาไว้ได้ด้วย
ในบรรดาตัวละครที่ละเมิดความสมจริงแบ่งได้เป็น
2 กลุ่ม กลุ่มแรกผู้เขียนให้ตัวละครแสดงตัวตนผ่านเสียงเล่าของ “นักเล่านิทาน” ดังนั้น บรรดา หมา, ต้นไม้, เหรียญทอง, มัจจุราช, สีแดง, ม้า, ซาตาน
เหล่านั้นหาได้พูดภาษาคนและพากันมาบอกเล่าเรื่องราวด้วยตัวเองไม่
แต่ผู้เขียนให้ตัวละครเหล่านั้นแสดงตัวตนผ่านเสียงเล่าของตัวละครอีกตัว
ซึ่งมีความสมเหตุสมผล และอันที่จริง
ตัวละครเหล่านั้นก็ไม่ใช่ หมา, ต้นไม้ ฯลฯ จริง ๆ (ยกเว้น “สีแดง” เพียงตัวเดียว)
แต่พวกมันล้วนเป็นเพียง “ภาพวาด” ของสิ่งเหล่านี้
(นี่ก็เป็น “ชั้นเชิง” ของผู้เขียนในการเล่นกับ “ความสมจริง” อีกเช่นกัน)
ตัวละครกลุ่มที่สองคือ
“คนตาย” ผู้เขียนกำหนดให้คนตายสามารถพูดจาสื่อสารกับผู้อ่านได้โดยใช้มโนทัศน์เรื่องชีวิตหลังความตายของศาสนาอิสลาม
นี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การละเมิดกฎเรื่องความสมจริง
แต่เป็นการประกาศสงครามกับกับกฎนี้เลยทีเดียว และที่กล่าวได้ว่าเป็นความชาญฉลาดของการออกแบบกลวิธีการเล่าเรื่องอย่างยิ่งก็คือ
การประกาศสงครามนี้
แท้แล้วก็คือสิ่งเดียวกับแก่นเรื่องที่ผู้เขียนพยายามจะสำแดงผ่านนิยายเรื่องนี้
ผู้เขียนจงใจใช้กลวิธีการเล่าเรื่องเพื่อสำแดงถึงประเด็นสำคัญในเนื้อหาของเรื่อง
My Name is Red คือเรื่องราวของช่างวาดแห่งอาณาจักรออตโตมานในศตวรรษที่
16
ซึ่งกำลังเผชิญความขัดแย้งจากอิทธิพลของศิลปะการวาดภาพเหมือนจากเวนิสอันจะนำไปสู่ความเสื่อมของศิลปะการวาดภาพแบบดั้งเดิมของตน
มโนทัศน์ทางศิลปะที่สำคัญ 2 แบบซึ่งปะทะขัดแย้งกันนี้ มองเห็นได้ในคำกล่าว 2
ประโยค ประโยคแรกกล่าวว่า ภาพต้นไม้ที่ดีคือ
เมื่อคนได้เห็นภาพนี้แล้วจะต้องสามารถแยกแยะต้นไม้ต้นนั้นจากต้นไม้ต้นอื่น ๆ
ในป่าได้ ส่วนประโยคที่สองกล่าวว่า
ข้าไม่ได้อยากเป็นต้นไม้ แต่ข้าอยากเป็นความหมายของมัน ทั้ง 2 ประโยคสะท้อนสาระสำคัญของสองมโนทัศน์ ซึ่งปะทะขัดแย้งกันในเรื่อง
“เอกลักษณ์” ตราบจนปัจจุบัน
เป็นทั้งปัญหาปรัชญาทางศิลปะ การปะทะทางวัฒนธรรม
และการตอบคำถามเรื่องการดำรงอยู่ของมนุษย์
อะไรคือความหมายของสีแดง
สีแดงไม่ได้เป็นสีแดงเพราะมัน “แตกต่าง” จากสีอื่น ๆ แต่มันเป็นสีแดงเพราะความหมายของการดำรงอยู่ของมันมีอยู่จริง
นิยายเรื่องนี้บอกเล่าประเด็นสำคัญของความขัดแย้งดังกล่าวออกมาได้อย่างเรียบง่าย
ขณะเดียวกันก็ใช้กลวิธีการประพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความขัดแย้งนี้ด้วย
ผู้เขียนเลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องที่เล่นล้อกับความเป็นสมัยใหม่พร้อม ๆ
กับความเป็นวรรณกรรมรหัสคดี (คนตายไม่ดำรงอยู่, ฆาตกรจะต้องไม่เปิดเผยตัวกับผู้อ่าน)
ดังนั้น ความเป็นรหัสคดี (ซึ่งแท้จริงแล้ว “ราก” ของมันคือวรรณกรรมที่ยึดโยงอยู่กับระบบเหตุผลของโลกสมัยใหม่)
ในนิยายเรื่องนี้จึงเป็นเพียงภาพสะท้อนเพื่อล่อผู้อ่านให้เข้ามาสู่โลกของความขัดแย้งของสองมโนทัศน์
เกี่ยวกับ “เอกลักษณ์”
นิยายของ ออร์ฮาน
ปามุก นักเขียนชาวตุรกีเล่มนี้ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1998 พิมพ์ครั้งแรกในภาษาอังกฤษเมื่อปี 2001
และฉบับภาษาไทยเพิ่งพิมพ์ครั้งแรกเมื่อกุมภาพันธ์ 2553 โดยสำนักพิมพ์บริสส์ แปลโดย นันทวัน เติมแสงสิริศักดิ์
My Name is Red ดำเนินเรื่องได้อย่างชาญฉลาด
แต่ก็มีโครงเรื่องแบบกึ่งตลาด และมีกลิ่นอายของสูตรสำเร็จ
เป็นวรรณกรรมที่นักปรัชญาหรือคนที่สนใจปรัชญาเชิงลึกอาจจะไม่ได้ตื่นเต้นนัก
ขณะที่นักอ่านงานรหัสคดีที่ไม่มีความสนใจเรื่องปรัชญาและประวัติศาสตร์ก็อาจจะรู้สึกว่าจืดชืด
สำหรับนักอ่านวรรณกรรมทั่วไปแล้ว นิยายเรื่องนี้ชวนติดตาม อ่านสนุก
นำเสนอความรู้ทางปรัชญาและประวัติศาสตร์ได้อย่างมีเสน่ห์
3 มกราคม 2554, พิมพ์ครั้งแรก IMAGE
Comments
Post a Comment