รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี
หนังสือ ‘รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี’
เป็นสารนิยายจากปลายปากกาของ สมบูรณ์ วรพงษ์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส
และนักเขียนรางวัลศรีบูรพา
‘รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี’ ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร สยามสมัยรายสัปดาห์ เมื่อ ปี พ.ศ.
2495 ในฐานะ ‘สารคดีประกอบจินตนาการ’ ต่อมาได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มอีกหลายครั้ง
ฉบับพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยสำนักพิมพ์ ปัจจุบัน เนื้อหาในเล่มแบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคหนึ่ง ‘รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี’ และเพิ่มเติมจากต้นฉบับที่พิมพ์ใน
สยามสมัย คือ ภาคสอง ‘บนฝั่งน้ำสาละวิน’ กระทั่ง เมื่อเดือนกันยายนของปี 2549 ที่ผ่านมา สำนักพิมพ์ มติชน ได้นำกลับมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง
และในการพิมพ์เป็นหนังสือเล่มครั้งล่าสุดนี้ นอกจาก ภาค 1 และ ภาค 2 แล้ว
ยังได้เพิ่มเติม ภาค 3 ‘อาทิตย์ดับ...เหนือมัณฑะเลย์’ ซึ่งเขียนโดย บวร
รัตนสิน อีกนามปากกาหนึ่งของ สมบูรณ์ วรพงษ์ เข้ามา
เมื่อครั้งที่หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มโดยสำนักพิมพ์
ปัจจุบัน ได้เสนอคำโปรยปก ‘รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี’
ไว้ว่า เป็น ‘สารนิยาย’ ซึ่งเป็นแขนงบัญญัติใหม่ของข้อเขียนสารคดี
ที่วางโครงสร้างงานเขียนอย่างสลับซับซ้อน และมีตัวละครเช่นเดียวกับ นวนิยาย คำนิยาม หรือคำแนะนำหนังสือเล็ก ๆ ตรงส่วนนี้
ทำให้เห็นพัฒนาการของการเขียน และการให้นิยามข้อเขียน ตั้งแต่ ณ
เวลาซึ่งตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร สยามสมัย ว่า ‘สารคดีประกอบจินตนาการ’
มาสู่ ‘สารนิยาย’ เมื่อ
40 กว่าปีต่อมา
บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ขั้นตอนพัฒนาการของการเขียนข้อเขียนที่มาจากการเดินทางในบรรณพิภพของไทยได้ว่า
มีความเป็นมาอย่างไร
ก่อนที่จะมีหนังสือเดินทางท่องเที่ยวออกมามากมายหลากหลายประเภท
ดังที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้ง หนังสือเกี่ยวกับการเดินทาง, สารคดีการเดินทาง, คู่มือเดินทางท่องเที่ยว, บันทึกการเดินทาง
และกระทั่งหนังสือบางเล่ม นักเขียนบางคน ก็ยังนำเสนอว่า
ผลงานของตนเป็นทั้งนิยายและสารคดีการเดินทางท่องเที่ยว ผสมผสานกัน
นักเขียนนักอ่านรุ่นใหม่บางคนก็พากันเปิดประเด็นว่าเป็น ‘ความใหม่’
ของหนังสือเกี่ยวกับการเดินทาง
สมบูรณ์ วรพงษ์ เขียน ‘รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี’ ตั้งแต่ครั้งยังหนุ่ม
คือเมื่อราว ปี พ.ศ. 2492
เนื้อหาของภาคแรกที่เขียนขึ้นนั้น
เป็นคล้ายบทบันทึกการเดินทางซึ่งเสนอภาพชีวิตของผู้คนในประเทศเพื่อนบ้าน
ในช่วงเวลาจลาจลวุ่นวาย และยังอยู่ในสงคราม แม้จะสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ไปแล้ว
บทแรกของหนังสือเปิดเรื่องที่ เมืองหาง
ซึ่งผู้เขียนบรรยายไว้ว่า
“เมืองหางนี้
ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าจากรัฐเมืองพาน เมืองสาด และเชียงตุง
ตลอดถึงเป็นย่านกลางที่จีนฮ่อเมืองซู่ เมืองว้อง นำสินค้ามาขาย
จึงมีพ่อค้าเกือบทุกชาติทุกภาษามารวมกันที่นี่
สินค้าที่นำมาขายก็มีสินค้าจากมณฑลยูนนานบ้าง ซึ่งรวมทั้งหม้อทองเหลือง ตะกั่ว ผ้า
เจี๋ยน มันฮ่อ (มันชนิดหนึ่งมีขายในจังหวัดเชียงใหม่)
แต่สินค้าที่สำคัญที่สุดก็คือฝิ่น...”
แรกเริ่มเดิมที
จุดหมายของการเดินทางครั้งนี้ อยู่ที่ มัณฑะเลย์ เมืองหลวงของรัฐฉานในเวลานั้น
มัณฑะเลย์เป็นเมืองใหญ่ที่เชื่อมต่อกับศูนย์กลางอย่างร่างกุ้งด้วยเส้นทางรถไฟ
ผู้เขียนออกจากชายแดนไทยด้านเชียงใหม่ ไม่ได้ระบุตำบลที่แน่ชัด
เดินทางเข้าสู่เมืองหางซึ่งเปรียบเสมือนเมืองหน้าด่าน
เป็นจุดพักของบรรดาพ่อค้าที่นำสินค้าจากเมืองไทยไปขายในรัฐฉาน โดยสินค้าส่วนใหญ่ ก็มีเป้าหมายอยู่ที่ตองยี
หรือไม่ก็มัณฑะเลย์
การเดินทางสู่มัณฑะเลย์ตามเส้นทางนี้
ต้องเดินเท้าจากเมืองหางสู่เมืองพาน จากเมืองพานจึงจะมีรถไปยัง ตองยี และ มัณฑะเลย์ ตามลำดับ
ผู้เขียนออกเดินทางมุ่งสู่มัณฑะเลย์พร้อมกับคณะพ่อค้า
ซึ่งประกอบไปด้วยชาวอินเดีย ชาวไทยใหญ่ และชาวพม่า เดินกันเป็นขบวนคาราวาน มีม้าต่าง วัวต่าง
วันหนึ่งเดินได้ราว 20 กิโลเมตร ผ่านเส้นทางป่าเขา ต้องฝ่าทั้งแม่น้ำลำธาร และทางชันเลาะเลียบผา
“จัดม้าเป็น 3 พวกที่บรรทุกของหนักเดินข้างหน้ามีคนไล่คอยติดตาม
พวกที่บรรทุกของไม่ค่อยหนักตามหลัง ถัดมาก็ที่บรรทุกสัมภาระต่าง ๆ
พวกเราเดินตามหลังม้าที่บรรทุกข้าวของเครื่องใช้สำหรับม้าที่เดินทางไกล
เขาต้องคอยดูไม่ให้เดินรีบร้อนนัก เพราะจะเหนื่อยเร็ว คอยชะลอให้เดินตามทันกัน นอกจากนี้จะต้องคอยดูว่าม้าตัวไหนไม่สบาย
ก็แบ่งของไปบรรทุกหลังม้าตัวอื่น มิฉะนั้นแล้วม้าอาจล้มตายกลางทาง...”
ช่วงเส้นทางจาก เมืองหาง ถึง เมืองพาน
นับเป็นช่วงการเดินทางที่มีสีสันมากที่สุด
เพราะต้องเดินเท้าเป็นกองคาราวานไปตามเส้นทางเดินเท้าโบราณ ผ่านเมืองเล็กเมืองน้อย
ผ่านทั้งป่าเขา หน้าผาชัน และด่านช้าง
ในช่วงที่ไม่มีเมืองหรือหมู่บ้านก็ต้องพักกันตรงศาลาริมทางซึ่งสร้างไว้สำหรับผู้เดินทาง
เดินจนถึงแม่น้ำสาละวินซึ่งต้องลำเลียงกองคาราวานข้ามกันไปด้วยแพ
“เราหยุดม้าตรงหน้าผาชัน
จัดแจงปลดต่างออกเพื่อจะลำเลียงม้าข้ามไปก่อน
การข้ามก็อาศัยแพขนานซึ่งเขาใช้เรือขนาดใหญ่ คล้าย ๆ
เรือชะล่าสองลำสานแตะพาดกลางระหว่างเรือทั้งสอง
กว้างประมาณ 5 เมตร
แพนี้เขาทำแข็งแรงพอที่จะทานน้ำหนักของม้า 10 ตัว และของซึ่งมีน้ำหนัก 700
– 800 กิโลกรัม การข้ามฟากอาศัยชาวไทยใหญ่ซึ่งตั้งรกรากอยู่ฝั่งน้ำนี้เป็นผู้พาข้าม
โดยคิดค่าข้ามฟากคนละ 3 รูปี ม้าตัวละ 5 รูปี ส่วนของหนัก คิดน้ำหนัก 10
กิโลกรัมต่อ 1 รูปี เรารอสักครู่ชาวแพก็พายข้ามมารับเรา จะต้องเอาม้าข้ามก่อน ม้า
30 ตัว จะต้องขนไม่น้อยกว่า 5 เที่ยว เมื่อเรือขนานมาถึง
ลูกน้องของสางคำก็ต้อนม้าลงไปทีละตัว...”
เมื่อข้ามแม่น้ำสาละวินมาได้แล้ว
ต้องเดินต่ออีก 3 วัน จึงถึงเมืองพาน
ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าสำคัญอีกแห่งหนึ่งของแคว้นฉานใต้ ณ เวลานั้น
สมบูรณ์ วรพงษ์ เดินทางไปรัฐฉานเมื่อ ปี
พ.ศ. 2492 นับย้อนจากตอนนี้ไปก็ 58 ปี
ในเวลานั้น เมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้
บนผืนแผ่นดินของชาวไทยใหญ่ได้มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายมหาศาล เวลานั้น
ประเทศพม่าเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษได้ไม่นานนัก สงครามโลกครั้งที่ 2
เพิ่งจะสิ้นสุด บรรดาชนชาติต่าง ๆ
ในพม่ายังคงตกลงกันในเรื่องการเมืองการปกครองไม่ได้ ไทยใหญ่ซึ่งเป็นชาติหนึ่งในพม่า
มีดินแดนอยู่เหนือประเทศไทย ในบริเวณที่รู้จักกันว่าเป็นรัฐฉานในปัจจุบัน ตอนนั้น
ชนชาติไทยใหญ่แม้ไม่ได้เข้มแข็งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพราะยังแบ่งเป็นเมืองเป็นรัฐ แต่ละรัฐก็ปกครองโดยเจ้าฟ้า หรือพ่อเมือง แต่ก็ยังนับได้ว่าไทยใหญ่มีความเป็นปึกแผ่น
มีความเป็นรัฐเป็นชาติของตนเองอย่างเต็มศักดิ์ศรีอยู่ ขณะที่ปัจจุบัน
ชาวไทยใหญ่ถูกกระทำย่ำยีเสียจนแทบจะสูญสิ้นความเป็นชาติพันธุ์
ระหว่างเดินทาง
ผู้เขียนได้พบและผูกพันกับเพื่อนร่วมทางจำนวนหนึ่ง
ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็ได้กลายมาเป็นตัวละครสำคัญของเรื่องราว
นำผู้เขียนและผู้อ่านเข้าไปพัวพันกับความรู้สึกเบื้องลึกของชาวไทยใหญ่ผู้ต้องการกอบกู้ชนชาติของตนขึ้นจากการกดขี่และการมอมเมาด้วยการพนันของรัฐบาลกลาง
ภาคแรกจบลงตรงที่ผู้เขียนเดินทางกลับประเทศไทย
ปิดท้ายด้วยจดหมายจากหญิงสาวไทยใหญ่ที่ผูกพันกันส่งมาถึงผู้เขียน
ส่วนภาคที่สองเนื้อความส่วนใหญ่เป็นบันทึกของ อูขิ่น ผู้ที่ผู้เขียนได้รู้จักระหว่างการเดินทาง
บันทึกนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมา และความขัดแย้งของชาติพันธุ์ในพม่า
และเรื่องราวของตัวละครที่ผู้เขียนได้เข้าไปพัวพันด้วยในภาคแรก
สำหรับภาคสุดท้ายเป็นส่วนที่มีความเป็นเรื่องแต่งมากที่สุด
ตัวละครสมมติถูกสร้างขึ้นให้มาพบกับผู้เขียนในวัยชราที่มัณฑะเลย์
และนำไปสู่การตามหาตัวละครในอดีตซึ่งจากกันไปกว่า 50 ปี แต่ ผู้เขียน
ซึ่งได้กลายเป็น ‘ผู้ชรา’ ยังคงระลึกถึงอยู่เสมอมา
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในสมัยที่ยังการเดินทางและการท่องเที่ยวยังไม่ได้ถูกผนวกกันเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม
ผู้เดินทางไกลยังต้องอดทนต่อความยากลำบาก และความไม่แน่นอน
ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเช่นคู่มือเดินทางท่องเที่ยว จึงทำให้เห็นว่า จริง ๆ
แล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางคือผู้คน ผู้คนที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทาง
ให้ความช่วยเหลือในฐานะที่ผู้เดินทางเป็นคนต่างถิ่น
ทำให้เห็นความสัมพันธ์กันของผู้คนที่ไม่ได้มีพรมแดนประเทศมาขีดกั้น
และการที่ได้เข้าถึงและสัมผัสผู้คนแห่งผืนแผ่นดินรัฐฉานเพื่อนบ้านของเรา
ซึ่งมีวัฒนธรรมและภาษาใกล้เคียงกัน ก็ชวนให้รู้สึกผูกพัน
และเป็นเดือดเป็นแค้นไปด้วยกับผู้คนที่ถูกกดขี่
ยิ่งเมื่ออ่าน รถเที่ยวสุดท้ายจากตองยี จบ
และเหลียวมองความจริงที่เกิดขึ้นกับชนชาติไทยใหญ่ 50 ปีให้หลังมาจนถึงปัจจุบัน
ก็จะยิ่งรู้สึกสะทกสะท้อนใจ
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร Travel
Guide
Comments
Post a Comment