กบฏต่อราชอาณาจักร
หนึ่งในข้อหาที่รัฐตั้งให้กับบรรดาผู้ก่อการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่
28 เมษายนที่ผ่านมาก็คือ "กบฏต่อราชอาณาจักร"
ผมได้ยินถ้อยคำนี้จากข่าววิทยุ หลังจากจมสู่ห้วงคิดเป็นเวลาหนึ่ง ผมก็นึกถึง
"เรา" ขึ้นมา
"เรา" หรือ
"กระบวนการสร้างความเป็นเรา"
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งที่สังคมไทยเกิดกรณีปัญหาอันเนื่องมาจากความแตกแยกแตกต่าง
และทุกครั้งที่รัฐใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกับความแตกแยกแตกต่าง ตั้งแต่ 6 ตุลา
จนถึง กรือเซะ ก็ล้วนมีกระบวนการของความเป็นเราเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย
ข้อสังเกตที่น่าสนใจอันหนึ่งของกรณีกรือเซะก็คือ
ในขณะที่นายกฯ บอกว่าปัญหาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องของ ปัญหาเศรษฐกิจ
ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น นักการเมือง และขบวนการค้ายาเสพติด
แต่ข้อหาที่รัฐตั้งให้กับผู้ก่อการในกรณีกรือเซะกลับเป็น "กบฏต่อราชอาณาจักร"
แน่นอนว่าข้อหา "กบฏต่อราชอาณาจักร"
เป็นข้อหาที่ไม่ได้ตั้งให้ผู้ทำผิดกฎหมายทั่วไปไม่ว่าจะทางแพ่งหรืออาญา
ข้อหานี้จึงมีนัยพิเศษที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกที่เกิดขึ้น
(หรือถูกทำให้เกิดขึ้น) อันหนึ่งก็คือการทรยศ หรือเป็นผู้ทรยศ
ในสภาพปัจจุบันนี้ที่รัฐสมัยใหม่อ้างตัวหรือประกาศตนว่ายอมรับความแตกต่างหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา
(ไม่รู้รวมอุดมการณ์ทางการเมืองด้วยหรือเปล่า)
โดยปราศจากอุดมการณ์ หรืออุดมคติที่เป็นเป้าหมายร่วมของคนในชาติ
แล้วอะไรเล่าที่จะหมายถึงการทรยศต่อราชอาณาจักร
สังคมไทยมีการแสดงออกอันหนึ่งที่เป็นตัวแสดงความสัมพันธ์
หรือเป็นตัวเชื่อมโยงให้เกิดความเป็นชาติ ก็คือความเป็นพี่เป็นน้อง
และความเป็นพี่เป็นน้องนี้เองที่พัฒนาไปสู่ความเป็นเพื่อนร่วมชาติร่วมแผ่นดิน
ที่กล่าวได้ว่าเป็นกลไกหลักในการสร้างความเป็นเรา ดังนี้ความเป็นเราจึงคล้ายยืนอยู่ลอย
ๆ บนความรู้สึกพี่น้องของคนไทยเท่านั้นเอง แต่ความเป็นเราแบบกลวง ๆ
อันนี้กลับสามารถนำไปสู่ความรุนแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ผมไม่ต้องการพูดถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์
ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะมีความจำเป็นต้องปฏิบัติจริงหรือไม่ แต่ความรุนแรงที่พูดถึงนี้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นก่อนเหตุการณ์
เป็นสิ่งที่สะสมมา และเป็นสิ่งที่เป็นปฏิกิริยาหลังจากเกิดเหตุการณ์ด้วย
และความรุนแรงตรงนี้ไม่ใช่เป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่เป็นผลลัพธ์ของแรงผลักทั้งหมดในสังคม
สิ่งนี้เองที่ทำให้ผมนึกถึง ความเป็นเรา
ในครั้งเหตุการณ์ณ์ 6 ตุลา สังคมไทยก็มีกระบวนการสร้าง ความเป็นเรา เช่นนี้
จนกระทั่งเห็นนักศึกษาและผู้ชุมนุมประท้วง เป็นอื่น
และนำไปสู่ความรุนแรงแบบที่ไม่มีใครคาดฝันมาก่อน
ภายใต้สังคมที่แตกต่าง ความเป็นคนไทยด้วยกัน
หรือ "ความเป็นเรา" ถูกทำให้เชื่อว่าจะทำลาย ความเป็นอื่น ลงไปได้
แต่ด้วยความแตกต่างหลากหลายที่ดำรงอยู่จริง
น่าสงสัยว่าความเป็นอื่นเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
หรือเพียงถูกอำพรางด้วยความเป็นเรา
ความแปลกแยกต่อกันระหว่างคนต่างวัฒนธรรม
เชื้อชาติ ศาสนา เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับสำหรับการอยู่ร่วมกัน เมื่อมีความแตกต่าง
ความแปลกแยกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ความแปลกแยกนี้จำเป็นต้องเป็นความเป็นอื่นหรือไม่
หรือมันกลายเป็นความเป็นอื่นได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องควรตั้งคำถามอย่างยิ่ง
ทุกครั้งที่รัฐใช้ความรุนแรงเพื่อจัดการความแตกต่าง
ความเป็นเรามักจะถูกหยิบขึ้นมาเพื่อผลักคนบางกลุ่มไปสู่ความเป็นอื่น
และสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรงนั้น ๆ
เรื่องนี้คนในรัฐบาลบางคนสมควรจะรู้ดีที่สุดว่า อุโมงค์ในธรรมศาสตร์
กับคอมมิวนิสต์สูบเลือดที่สนามหลวงหมายถึงอะไร
จากกรณี 6 ตุลา เราได้เห็นแล้วใช่ไหมว่ายิ่ง
ความเป็นเรา รุนแรงเพียงใด ความเป็นอื่น ก็เข้มข้นขึ้นเพียงนั้น
และสังคมไทยก็สามารถเห็นความป็นอื่น/คนอื่นไม่ใช่คนและใช้ความรุนแรงกับความเป็นอื่นได้อย่างผิดมนุษย์เพียงใด
จริง ๆ แล้ว
ด้วยกระบวนการสร้างความเป็นเรานั่นแหละที่ทำให้เกิดความเป็นอื่นขึ้น
และถ้าหากจะเรียกร้องความสมัครสมานสามัคคีขึ้นในสังคม
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยุติกระบวนการสร้างความเป็นเรากันเสียที
และหันมายอมรับความแตกต่าง
เรียนรู้ความแปลกแยกเพื่อจัดการกับความแตกต่างได้อย่างเปิดใจ
เป็นคำตอบเดียวที่จะทำให้ไม่ต้องเสียเลือดเสียน้ำตากันก่อนแล้วค่อยทำให้
"กบฏต่อราชอาณาจักร" กลับมาเป็น "ผู้ร่วมพัฒนาชาติ"
พิมพ์ครั้งแรก open 42, มิถุนายน 2547
Comments
Post a Comment