รักผัวคนอื่นดีกว่าเสียภาษี



"ไม่อยากเป็นคนดีที่ไม่มีความสุข" เป็นประโยคที่อยู่ในเพลงเพลงหนึ่งในอัลบั้มชุดใหม่ของ ปนัดดา เรืองวุฒิ และเป็นประโยคที่มีปัญหาขึ้นมาทันทีหลังจาก สมาชิกวุฒิสภา ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิชออกมากล่าวโจมตีว่าเป็นการยั่วยุส่งเสริมให้คนผิดศีลธรรม หรือพูดภาษาชาวบ้านก็ว่า ยุให้คนไปแย่งผัวชาวบ้านเขา

เนื่องจากเนื้อหาของเพลงเพลงนี้พูดถึงความทุกข์ทรมานของการไปรักคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว ต้องถูกประณามว่าเป็นคนชั่วช้าสามานย์ ต้องต่อสู้กับศีลธรรมในใจตัวเอง แต่สุดท้ายก็เลือกยอมที่จะเป็นคนเลว ผิดศีลธรรมเพื่อความรัก ดังนั้น จึงต้องถือว่าเป็นเนื้อหาที่บาดใจผู้นำสถาบันเมียหลวงอย่างคุณระเบียบรัตน์ และเป็นที่แน่นอนว่าคุณระเบียบรัตน์จะต้องออกมาประณามเนื้อเพลงเพลงนี้

เมื่อคุณระเบียบรัตน์ออกมากล่าวหาว่าเนื้อเพลงนี้ส่งเสริมยั่วยุให้คนทำผิดศีลธรรม ทางฝ่ายนักร้องเจ้าของอัลบั้ม ซึ่งก็คือคุณปนัดดาก็โต้กลับมาว่า เพลงเพียงแต่สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งก็หมายความว่า ความผิดศีลธรรมทำนองนี้เป็นสิ่งที่ "เป็นปรกติ" ในสังคม เพลงเพียงแต่สะท้อน "ความจริง" ของสังคม

ประเด็นการยั่วยุให้ผิดศีลธรรมกับการสะท้อนความจริงนี้ ถือเป็นวิวาทะคลาสสิก ระหว่าง ผู้จัดระเบียบ กับ ศิลปิน มาทุกยุคทุกสมัย ผู้จัดระเบียบไม่ต้องการเห็นการแสดงออกที่ผิดไปจากระเบียบอันถูกต้องของสังคม ในขณะที่ศิลปินต้องการอิสรภาพในการทำงาน ในบทความชิ้นนี้จะไม่กล่าวถึงในแง่มุมนี้ เนื่องจากเชื่อว่าต่อไปอีกกี่ปีกี่ชาติ ตัวแทนของระเบียบในสังคมก็ยังคงจะต้องเป็นส่วนที่ปะทะขัดแย้งกับศิลปินผู้สร้างงานศิลปะ เป็นธรรมชาติของสังคมที่มีโมเมนตัม ทำให้สังคมนั้นเคลื่อนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

เมื่อตัดประเด็นแรกออกไป  มุ่งตรงเข้าสู่เนื้อหาของการปะทะ "ไม่อยากเป็นคนดีที่ไม่มีความสุข" นี้จะว่าไปแล้วก็เป็นความรู้สึกร่วมของสังคมที่คล้อยตามบริโภคนิยม คือให้คุณค่ากับการบริโภค (ความสุข) มาก่อนศีลธรรม (ความดี)  ไม่ว่าจะสิ่งที่บริโภคนั้นจะเป็น ผัว (ของคนอื่น) หรือเป็น เงินภาษี (ของรัฐบาล) ก็ล้วนยั่วยวนให้ต้องครอบครองแม้จะละเมิดศีลธรรม

จากกรณีของการไปรักผัวคนอื่น จะเห็นได้ว่า ความจริง ที่คุณระเบียบรัตน์และคุณปนัดดามองเห็นจากตัวปรากฏการณ์อันเดียวกันนี้ (การไปรักผัวคนอื่น) นั้น แตกต่างกันออกไปคนละทาง คุณระเบียบรัตน์มองเห็นเป็นความผิดศีลธรรมที่จะต้องควบคุม ขจัดออกไป ส่วนคุณปนัดดามองเห็นเป็นความรักแบบหนึ่งของคนร่วมสมัย เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอารมณ์อันเป็นศิลปะจากความขัดแย้งระหว่างความรักกับศีลธรรม

การมองปรากฏการณ์ใด ๆ ก็ตามไม่ต่างกับการที่เราหยิบลูกบอลขึ้นมาวางไว้ใต้แสงไฟ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ พื้นผิวของลูกบอลจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนที่ได้รับแสงสว่างและส่วนที่เป็นเงามืด

หาก ความจริง คือพื้นผิวรูปทรงทั้งหมดของปรากฏการณ์ทางสังคมที่ถูกนำมาไว้ใต้แสงสว่าง เราย่อมไม่สามารถเข้าถึงความจริงของปรากฏการณ์นั้นได้อย่างสมบูรณ์โดยมองแต่ด้านที่ได้รับแสงเพียงด้านเดียว นั่นเป็นสมมุติฐานที่ใช้ในการสืบเสาะความจริงจากตัวอย่างกรณีของลูกบอล แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมซับซ้อนกว่าลูกบอลหลายเท่า สังคมในฐานะของสิ่งที่รองรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประกอบไปด้วยมิติและเหลี่ยมมุมที่เก็บงำ สะท้อน หักเห และถ่ายทอดความจริงจากปรากฏการณ์เดียวกันแตกต่างมากมายเหลือคณา แล้วปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมก็ไม่เคยเกิดขึ้นตามลำพัง หากแต่มันโยงเกี่ยว สัมพันธ์ (และไม่สัมพันธ์) ทั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนมัน กับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมมัน และกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังมัน

กระนั้นก็ตาม ผมก็ยังเชื่อว่า หากเราหยิบปรากฏการณ์ทางสังคมขึ้นมาส่องไฟ พื้นผิวของมันก็ยังคงจะแบ่งออกเป็นสองด้านเช่นเดียวกับลูกบอล และจากความจริงง่าย ๆ ข้อเดียวกันนี้ก็อธิบายได้ว่า การแสดงบทบาทและท่าทีของคุณระเบียบรัตน์ต่อเพลงของคุณปนัดดาก็เป็นเพียงการพยายามหมุนลูกบอลกลับเพื่อให้ด้านที่เคย (และควร) อยู่ในเงามืดนั้น อยู่ในเงามืดต่อไป

หากเปรียบแสงแสว่างเท่ากับ "ความสามารถในการเข้าถึงความจริง" ของสังคม (คนหลาย ๆ คนรวมกัน-ไม่ใช่ปัจเจกชน)  ทิศทางและระดับของความสว่างนี้ย่อมมีข้อจำกัด และพื้นที่ที่จะได้รับแสงสว่างนั้นก็ย่อมจำกัด พื้นผิวของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมจึงถูกตัดแบ่งเป็นสองเสมอ

และกระบวนการทางสังคมในบางครั้ง  การเคลื่อนไหว ขัดแย้ง ต่อสู้กันของความจริงต่อปรากฏการณ์คือการแย่งชิงพื้นที่ในแสงสว่างเพียงเท่านั้น หลายการต่อสู้จึงเป็นเพียงการหมุนลูกบอล ไม่ใช่การเพิ่มระดับของแสงสว่าง

นอกจากนี้แล้ว การที่ปรากฏการณ์ในสังคมได้รับแสงสว่างไม่เท่ากัน ก็ได้ทำให้เกิดสภาพ ความจริงในที่ลับ และ ความจริงในที่แจ้ง ซึ่งมีความหมายมากไปกว่าการที่ว่ามันถูกแสงสว่างสาดส่องหรือไม่ สภาวะของการมีที่ลับที่แจ้งนี้เองที่ทำให้ การประกาศมีบทบาทขึ้นมา การประกาศความจริงหนึ่งเดียวต่อปรากฏการณ์ได้กลายเป็นกระบวนการวางเส้นแบ่งระหว่างที่ลับและที่แจ้งไปอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อเปรียบเทียบกรณี "ไม่อยากเป็นคนดีที่ไม่มีความสุข" กับ "การไม่เสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย" ก็จะมองเห็นตัวละครซึ่งประกอบไปด้วย คนดีที่ไม่มีความสุข (ไม่สามารถรักผัวคนอื่น, ต้องเสียภาษี) กับ ความสุขของคนไม่ดี (รักผัวคนอื่น, หลีกเลี่ยงภาษี) ซึ่งกล่าวได้ว่าตัวละครทั้งสองคือ สิ่งที่ปะทะขัดแย้งกันโดยมีนัยสำคัญอยู่ตรง "ความจริงที่ถูกประกาศ" (อยู่ในที่แจ้ง) กับ "ความจริงที่ไม่ถูกประกาศ" (อยู่ในที่ลับ)

การไปรักผัวคนอื่นนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่กล่าวได้ว่า "มีอยู่จริง" และ "เป็นปรกติ" ในสังคมไทย ดังที่นักร้องสาวกล่าวอ้าง  แม้กระนั้นคำกล่าวอ้างนี้ก็เป็นสิ่งที่นางระเบียบรัตน์ไม่ยอมรับอย่างแน่นอนเนื่องจาก แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ มีอยู่จริง และ เป็นปรกติ แต่มันเป็น "ความจริงที่จะต้องไม่ถูกประกาศ" กล่าวคือ ตำแหน่งแห่งที่ของความจริงเกี่ยวกับการรักผัวคนอื่นนั้น จำเป็นที่จะต้องอยู่ในฐานะของความจริงที่อยู่ในที่ลับ (ซึ่งโดยอุดมคติคุณระเบียบรัตน์ก็อาจจะคาดหวังถึงโลกพระศรีอารย์ในวันที่แสงสว่างได้สาดส่องทุกแห่งหน ขับไล่ที่มืดไปพร้อมกับผีร้ายที่หลบซ่อนอยู่ในนั้น)

"ตำแหน่งแห่งที่" ของความจริงในสังคมจึงมีความหมายยิ่งไปกว่าการที่ มันเป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่และกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ถือครองความจริงที่แตกต่างกันต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา

การรักผัวคนอื่นนั้น เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม หากแต่เป็นความจริงที่จะต้องอยู่ในที่ลับ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ และคนจำนวนหนึ่งก็ปฏิบัติ นัยสำคัญของการอยู่ในที่แจ้งหรือที่ลับนั้น อยู่ตรงที่ "ความชอบธรรม" หมายถึงสำนึกหรือความหมายที่กำกับพื้นที่ (ที่ลับ/ที่แจ้ง) อยู่นั่นเอง (เพื่ออย่างน้อยการอยู่ในที่ลับก็ยังเป็นสิ่งที่สามารถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นได้ง่ายกว่าในวันที่โลกพระศรีอารย์ยังมาไม่ถึง)

ความจริงที่อยู่ในที่แจ้ง นั้นจึงหมายถึง ความจริง ที่สามารถประกาศได้ มีความชอบธรรมที่จะเปิดเผย ไม่ต้องหลบซ่อน (แต่เป็น ความจริง ที่ไม่เย้ายวน น่าเบื่อ และดูขัดแย้ง) ส่วน ความจริงในที่ลับ นั้น ต้องตกอยู่ในฐานะของผู้ที่สำนึกบาป และแอบซ่อน (เย้ายวน หากแต่อันตรายต่อการเปิดเผย)

เมื่อการรักผัวคนอื่นถูกทำให้เป็นเพลงโดยมีวรรคทอง "ไม่อยากเป็นคนดีที่ไม่มีความสุข" ร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง นั่นย่อมส่งผลต่อตำแหน่งแห่งที่ของมันในสังคม และเป็นสิ่งที่แม่ทัพเมียหลวงจะต้องออกมากำกับถึงสำนึกในพื้นที่ของมัน ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง จำเป็นจะต้องลบมันออกไปจากพื้นที่สว่างและผลักดันกลับไปอยู่ในที่มืด

เช่นเดียวกับกรณีการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างถูกกฎหมายของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว แม้ว่าจะเป็น "ความจริง" ในสังคมที่นักธุรกิจส่วนใหญ่ประพฤติปฏิบัติกันเป็น "ปรกติ"

แต่การที่ผู้ประพฤติเป็น นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นตัวแทนของรัฐที่หลีกเลี่ยงภาษีเสียเองและยืนยันความ "ถูกต้อง" ของการไม่เสียภาษีโดยมีผู้เชี่ยวชาญกฎหมายภาษีออกมาชี้แจง แก้ต่าง พร้อมกับสาธิตวิธีการเลี่ยงภาษีในกรณีนี้ให้คนทั้งประเทศได้รับชม จึงเท่ากับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการหลีกเลี่ยงภาษี และเปลี่ยนตำแหน่งทางความจริงของการหลีกเลี่ยงภาษีจากที่ลับมาอยู่ในที่แจ้ง 

"ภาษี" ที่นายกฯ และครอบครัวต้องเสีย จึงไม่ต่างกับ "ผัวของคนอื่น" และนายกฯ ก็ยินยอมเป็น "คนไม่ดีที่มีความสุข" มากกว่า เปรียบได้กับนายกฯ ทักษิณเลือกที่จะรักผัวคนอื่นแม้จะผิด ดีกว่ายอมเป็นคนดีที่ไม่มีความสุข (เพราะต้องเสียภาษี)

สำหรับสังคมไทยแล้ว การยอมให้ "การรักผัวคนอื่น" อยู่ในที่แจ้งหรือไม่เป็นเรื่องท้าทายและยุ่งยากอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เนื่องจากตัวแปรสำคัญในกรณีนี้คือ "ความรัก" ซึ่งมีอุดมคติที่หลากหลาย และเป็นเรื่องที่เส้นของความเป็นส่วนรวมและส่วนตัวพลิกกลับไปมาได้อย่างแยบยล เนื่องจากมองจากมุมมองของปัจเจกนิยมแล้ว ถือว่าความรักเป็นเรื่องส่วนตัว และคำตอบแบบปัจเจกนิยมสุดขั้วนั้น ก็สามารถตอบแบบเอ็กซิสตองเชียลลิสต์ได้ว่า ที่สุดแล้วคนต้องรับผิดชอบใน "การเลือก" ของตน ผลลัพธ์ของ "การรักผัวคนอื่น" จึงเป็นเรื่องของ "การเลือก" และการรับผิดชอบ "ผลจากการเลือก"  นอกจากนี้แล้ว ความรักยังเป็นเรื่องของความรู้สึก ที่มีมิติมากกว่าการบริโภค คุณค่าแบบปัจเจกนิยมก็ทำให้ผู้ละเมิดศีลธรรมของสังคมสามารถให้คุณค่าในเชิงปัจเจกกับตัวเองได้มากมาย ตั้งแต่การซื่อสัตย์ต่อ (ความรู้สึกของ) ตัวเอง (มากกว่าสังคม)  ไปจนถึงสภาวะที่ไม่ต้องการเหตุผลใด ๆ ก็ได้

ส่วนกรณีของการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างถูกกฎหมายของผู้นำรัฐบาลนั้น ไม่สามารถยกข้ออ้างแบบปัจเจกนิยม ทั้งไม่ซับซ้อนและง่ายดายกว่ามาก เพราะตัวแปรคือ "ความโลภ" ซึ่งมีอุดมคติเพียงอย่างเดียวคือ "กอบโกย" และเป็นเรื่องที่แม้เส้นของความชอบธรรมสามารถพลิกกลับไปมาได้แยบยลในทางกฎหมาย แต่ไม่สามารถพลิกได้ในทางสังคม

การที่กรมสรรพากรประกาศว่า นายกรัฐมนตรีและครอบครัวไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่สลึงเดียว คือการพลิกความจริงในที่ลับออกมารับรอง (ขึ้นพานถวายเลยทีเดียว) ในที่แจ้ง และการสาธิตวิธีการหลีกเลี่ยงภาษีโดยชอบด้วยกฎหมายของตัวแทนครอบครัวชินวัตรต่อประชาชนทั้งประเทศก็เท่ากับเป็นการเชิดชู "ความโลภ" ขึ้นเป็นอุดมคติของสังคมอย่างเป็นทางการ (ที่ผ่านมาก็เป็นอุดมคติของสังคมนี้อยู่แล้วเพียงแต่ไม่ถูกประกาศ)

เรื่องทั้งหมดนี้จึงเป็นอัลบั้มสุด hot ชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่เสนอต่อสังคมไทย โดยมีกระทรวงการคลังเป็น producer  กรมสรรพากรเขียนเนื้อร้องโดยบรรจง มีเพลงเอกที่มีวรรคทองว่า "ไม่อยากเป็นคนดีที่ต้องเสียภาษี"  อัลบั้มชุดนี้ขายสังคมไทยในราคา 25,000 ล้านบาท

เมื่อแสงสว่างส่องมายังที่มืด และผีร้ายปรากฏให้เห็น (และมันไม่ได้หายตัวไปอย่างที่เราคาดหวัง) ทางเลือกก็มีแต่จะหมุนลูกบอลให้ผีร้ายกลับไปอยู่ในที่ลับหรือไม่ (คงจะเป็นทางเลือกเดียวที่สังคมซึ่งอ่อนน้อมต่อการบริโภคสังคมนี้พอจะมีแรงกระทำได้)

ตอนจบของความจริงต้องห้ามนี้จึงเป็นว่าหลังจากที่ได้ฟังอัลบั้ม hot hit ติดชาร์ทกันแล้ว สังคมไทยจะยอมยกความโลภขึ้นเป็นใหญ่ทั้งในที่ลับและที่แจ้งหรือไม่

เผยแพร่ครั้งแรกเว็บไซต์ Onopen, 2549


Comments