จับประเด็นภูเขาน้ำแข็งเรื่องการเปลี่ยนรัชกาล



หมายเหตุ - บทความชิ้นนี้เป็นการวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นถกเถียงที่มีการพูดคุยกันในรายการตอบโจทย์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา และเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมไทยโดยทั่วไปตลอดช่วงวิกฤตทางการเมืองที่ผ่านมา เพียงแต่ยังไม่มีใครนำมาประมวลเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนพยายามจะทำในบทความชิ้นนี้เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะในการทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจปัญหาสังคมการเมืองไทยที่ยืดเยื้อรุนแรงมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว

บทความชิ้นนี้เป็นการวิเคราะห์และเสนอความเห็นของผู้เขียน จากการติดตามการเมืองมาในระยะ 34 ปีที่ผ่านมา ความเห็นในบทความที่อ้างถึงคำพูดในรายการ มีการตีความของผู้เขียนประกอบ โดยพิธีกร และผู้ร่วมรายการอาจจะไม่จำเป็นต้องคิดเห็นในลักษณะเดียวกับที่ผู้เขียนตีความ

การกดไลค์บทความชิ้นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้กดมีความสนใจในประเด็นพูดคุย และมีความเป็นห่วงต่อปัญหาสังคมการเมืองไทย มีความปรารถนาจะคิดหาทางออก ทำความเข้าใจ โดยมุ่งหวังให้สังคมไทยเดินออกจากความขัดแย้งได้โดยสันติ โดยผู้กดไลค์ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของผู้เขียน

การคอมเมนต์ท้ายบทความชิ้นนี้ ให้กระทำในกรอบของการใช้เหตุผล วิชาการ และไม่หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายบุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น หากพบข้อความหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายบุคคลใด หรือมีข้อความที่อาจผิดกฎหมาย ผู้เขียนจะลบข้อความนั้นทิ้งทันที




พนัส ทัศนียานนท์ :  ภูเขาน้ำแข็ง หนึ่งก็คือความกลัวที่ผมพูดไว้แล้ว สองก็คือความรู้สึกว่ามันไม่มีความยุติธรรม บ้านนี้เมืองนี้ ซึ่งนับวันมันยิ่งจะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ นะครับ ถ้าถอดชนวนของสองสิ่งนี้ออกไม่ได้นะครับ ผมก็เป็นห่วงนะครับ ในอนาคตอันไม่ไกลนี่นะครับ อาจจะเกิดปัญหาอะไรที่มันรุนแรงยิ่งขึ้นไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา: อาจารย์นิธิครับ เราอยู่ในรัฐนาวาไททานิค ทำอย่างไรไม่ให้ไททานิคพุ่งเข้าไปชนภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งก็รู้ ๆ กันอยู่ เห็นก็เห็นกันอยู่ ว่ารอเราอยู่เบื้องหน้า


คำถามดังกล่าวของภิญโญ ไตรสุริยธรรมาในรายการตอบโจทย์กรณีอากง ตอนที่ 3 คืนวันพุธที่ 14 ธันวาคม 2554  ดังที่ยกมาข้างต้นนี้เป็นการเปรียบเปรยของภิญโญที่ผู้ร่วมรายการทั้ง 3 คน ต่างเข้าใจเป็นอย่างดี สังเกตได้จากการที่ไม่มีใครสงสัยหรือถามกลับหรือถกเถียงเลยว่า ที่ว่า ก็รู้ ๆ กันอยู่ เห็นก็เห็นกันอยู่นี้คืออะไร

คำว่า ภูเขาน้ำแข็งนี้ยังมีนัยยะต่อเนื่องจาก ความเป็นห่วงของพนัศ ทัศนียานนท์ ซึ่งกล่าวว่า ในอนาคตอันไม่ไกล อาจจะเกิดปัญหาอะไรที่มันรุนแรงยิ่งขึ้นไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่ขณะนี้

ความเป็นห่วงที่มีต่อ ภูเขาน้ำแข็งในความเปรียบนี้ ย่อมหมายถึงภาวะคับขันยากลำบากอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรออยู่เบื้องหน้า และทุกคนทราบเป็นอย่างดีว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาบริบทของการพูดคุยของบุคคลทั้ง 4  ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112  สถาบันกษัตริย์ และปัญหาในสังคมการเมืองไทย ณ เวลานี้  ข้าพเจ้าตีความคำว่า ภูเขาน้ำแข็งนี้ว่าหมายถึง การเปลี่ยนรัชกาล

ในภาวะที่สังคมการเมืองแตกแยกเป็นฝักฝ่าย ความขัดแย้งหยั่งรากลึก ทั้งในหน่วยราชการและเอกชน ทั้งในชุมชนและครัวเรือน  ท่ามกลางความไร้เสถียรภาพของสังคมการเมืองดังกล่าว กลับเกิดปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งคู่ขัดแย้งหลัก ๆ ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่างล้วนแสดงออกอย่างสอดพ้องไปในทิศทางเดียวกัน ก็คือการย้ำ-การพยายามแสดง และประกาศความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขณะเดียวกันในท่ามกลางการแสดงออกไปในทิศทางเดียวกันของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกันนี้ ก็มีการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างเข้มงวด รุนแรง และไร้เหตุผลขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าฝ่ายใดจะขึ้นเป็นรัฐบาล

การบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ในลักษณะดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางการสนับสนุนของกลุ่มคนที่กล่าวอ้างความจงรักภักดี และแสดงความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าไม่มีความจงรักภักดี  ตลอดจนมีการแสดงออกถึงความหวั่นเกรงว่าจะมีผู้ล้มราชบัลลังก์

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อข่มขู่ คกคาม กดปราบ และดำเนินคดีกับผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง

กรณีการร้องทุกข์กล่าวโทษจนกระทั่งมีการดำเนินคดีต่อนายสุรพศ ทวีศักดิ์ ผู้ซึ่งอภิปรายความเห็นในกระทู้ท้ายบทความ จะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ในสังคม-การเมืองไทยอย่างไร?”  ที่เว็บไซต์ประชาไท โดยมีนายวิพุธ สุขประเสริฐ ผู้นิยมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งใช้นามแฝงว่า I-Pad เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ  เป็นตัวอย่างล่าสุดที่สะท้อนถึงการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ในการเล่นงานผู้ที่แสดงทัศนะแตกต่างกันทางการเมืองในกรอบของเหตุผล เป็นกรณีที่เกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างเหตุการณ์วิกฤตการเมืองที่ผ่านมา

ในอีกทางหนึ่ง การกล่าวอ้างสถาบันกษัตริย์เพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนจำนวนหนึ่ง กลับสามารถกระทำได้อย่างเปิดเผย โจ่งแจ้ง แม้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

กรณีทางการเมืองที่พัวพันถึงสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์สังคม-การเมืองไทย  เฉพาะวิกฤตการเมืองรอบนี้ การพยายามบิดเบือนสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์เปิดฉากขึ้นครั้งแรกด้วยการพยายามเรียกร้องนายกรัฐมนตรีพระราชทาน โดยการอ้างมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนการรัฐประหาร กันยายน 2549

แม้การกระทำดังกล่าวอาจจะมีความผิดร้ายแรงฐานล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพราะโดยรัฐธรรมนูญนั้น บัญญัติให้กษัตริย์สามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีผ่านรัฐสภาเท่านั้น และแม้ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชดำรัสแสดงความเห็นต่อความเคลื่อนไหวเรียกร้องดังกล่าวว่า มั่วก็ยังมีความพยายามที่จะเรียกร้องในทำนองเดียวกันในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็น นายกฯ พระราชทาน, รัฐบาลพระราชทาน ฯลฯ หรือแม้แต่เรียกร้องการรัฐประหาร  ซึ่งล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีสถาบันกษัตริย์เป็นประมุขทั้งสิ้น และมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ แต่กลับมีผู้แสดงออกอย่างเปิดเผยได้โดยไม่มีความผิด

ความพัวพันระหว่างสถาบันกษัตริย์และปัญหาการเมืองเริ่มมีความซับซ้อนและลึกซึ้งขึ้น เมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวอ้าง พระราชินีและพระมหากษัตริย์ ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย ตั้งแต่ ปิดล้อมและเข้ายึดพื้นที่ภายในทำเนียบรัฐบาล กลุ่มนักรบศรีวิชัยเข้าบุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT แกนนำและผู้ชุมนุมเข้ายึดพื้นที่ในสนามบินดอนเมือง และเข้าชุมนุมอยู่ในทั้งหน้าและในอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ  ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นตัวอย่างของการพยายามใช้ความนิยมต่อสถาบันกษัตริย์ของประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

แต่ความยากลำบากในการตัดสินกลุ่มพันธมิตรฯ ดังกล่าวข้างต้น ก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ กลุ่มพันธมิตรฯ เองก็ได้พยายามแสดงออกหลายครั้งว่า พวกตนกระทำไปตามความมุ่งหมายของสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการนำผ้าพันคอสีฟ้าซึ่งกล่าวอ้างว่าได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขึ้นมาแสดงบนเวทีปราศรัยในที่ชุมนุม หรือผูกผ้าดังกล่าวไว้ที่คอระหว่างการแถลงข่าว  นำเทปพระสุรเสียงของสมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถขึ้นเปิดบนเวที ตลอดจนกล่าวอ้างว่าได้รับเงินบริจาคจากบุคคลใกล้ชิดของพระองค์

หากเหตุการณ์เป็นการกล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียวของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังไม่ยากลำบากในการวิเคราะห์ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าคำกล่าวอ้างดังกล่าว เกิดขึ้นควบคู่กับการที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ทรงแสดงสิ่งที่อาจจะทำให้สังคมคล้อยตามคำอ้างของกลุ่มพันธมิตร เช่น การรับผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ 7 ตุลา เข้าเป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นางสาวอัญชลี ไพรีรักษ์ ได้ประกาศบนเวทีปราศรัยว่า ขณะนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเงินจำนวนหนึ่งแสนบาท เป็นค่ารักษาพร้อมรับผู้บาดเจ็บเป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และวันต่อมา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาลเปิดเผยว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ รองราชเลขานุการสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โทรศัพท์มาสอบถามสถานการณ์ พร้อมแจ้งว่า สมเด็จฯ ทรงห่วงใยพสกนิกรทุกคน ทรงสอบถามถึงผู้บาดเจ็บ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับผู้บาดเจ็บไว้ในพระอุปถัมภ์ทั้งหมด พร้อมกำชับให้ดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งพระราชทานเงินจำนวนหนึ่งแสนบาท เป็นค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น ซึ่งสอดรับกับคำกล่าวอ้างของนางสาวอัญชลี

ต่อมานายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังประกาศบนเวทีว่า ตนและพวกเป็นทหารเสือพระราชา และกล่าวอ้างการพระราชทานเงินดังกล่าวเป็นสิ่งยืนยันว่าสถาบันกษัตริย์กำลังสนับสนุนพวกตน  แม้ต่อมาจะมีการพระราชทานเงินช่วยเหลือตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นคู่กรณีของกลุ่มพันธมิตรโดยตรงในการปะทะ ที่อาจแสดงให้เห็นว่าเป็นการช่วยเหลือโดยเท่าเทียม ก็ไม่ได้ทำให้น้ำหนักคำกล่าวอ้างของนางสาวอัญชลี และนายสนธิ น้อยลงไป โดยเฉพาะต่อมาเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ พระราชทานเพลิงศพนางสางอังคนา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตในเหตุการณ์

จากทำนองของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว จึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ในบรรดาประชาชนนับแสนคนที่สวมเสื้อแดงออกมาชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถานเพื่อแสดงการคัดค้านกลุ่มพันธมิตรฯ ในเดือนถัดมานั้น มีกี่คนที่จะเข้าใจว่า พระราชินี และสถาบันกษัตริย์ กำลังสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่จริง ๆ ตามคำอ้างและการแสดงให้รู้โดยสัญลักษณ์ของแกนนำพันธมิตรฯ

สิ่งที่ยากลำบากยิ่งไปกว่าก็คือ ภายใต้การนำกฎหมายอาญามาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เราไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้เลยว่า คำกล่าวอ้างของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นความจริงหรือไม่อย่างไร และความเชื่อดังกล่าวมีบทบาทอย่างไรแค่ไหนในการทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ และแนวร่วม สามารถยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสถานีโทรทัศน์NBT ยึดสนามบินดอนเมือง และยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ได้โดยเจ้าหน้าที่ไม่อาจขัดขวาง

ทั้งนี้ ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว มีเพียงบทสัมภาษณ์ของสมเด็จฯ พระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ตอบนักข่าวต่างประเทศที่ถามว่าทรงเห็นด้วยหรือไม่ที่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ กล่าวว่าพวกเขาทำเพื่อสถาบันกษัตริย์ ว่า  ไม่คิดเช่นนั้นและทรงกล่าวต่อว่า พวกเขาทำเพื่อตัวเองซึ่งรายงานในหนังสือพิมพ์ข่าวสด โดยการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ของสมเด็จฯ พระเทพฯ ดังกล่าว สร้างความโกรธแค้นให้กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นอย่างมาก จนถึงกับขู่จะปิดล้อมสำนักงานของเครือมติชน และขู่จะห้ามไม่ให้ร้านหนังสือวางขายหนังสือพิมพ์ของเครือมติชน  นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีการปฏิเสธอย่างเป็นทางการจากสำนักราชวังแต่อย่างใด

ดังนั้น เหตุการณ์เหล่านี้ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาสู่ความรุนแรงในเดือนเมษายน 2552  และเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553  จึงทำให้สถาบันกษัตริย์ถลำลึกลงสู่ความขัดแย้งทางการเมือง  ยิ่งเมื่อระหว่างเหตุการณ์รุนแรง ทหารหน่วยที่เรียกว่า ทหารเสือราชินีเข้ามาปฏิบัติการเป็นกำลังหลักในการปราบคนเสื้อแดงที่สามเหลี่ยมดินแดงในปี 2552  มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553  และในเหตุการณ์ล้อมปราบเดือนถัดมาที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งมีการสังหารผู้ชุมนุมหน้าวัดปทุมวนารามอย่างโหดเหี้ยม

ในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของสถาบันกษัตริย์ไทย ราชวงศ์จักรีเริ่มต้นสถาปนาขึ้นด้วยการถอดพระเจ้าตากสินออกจากการเป็นกษัตริย์ ด้วยข้อกล่าวหาว่าสัญญาวิปลาส ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชั้นนำจำนวนมากเห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีความซับซ้อนกว่าเพียงกรณีสัญญาวิปลาส และอาจมีการวางแผนรัฐประหารมาเป็นอย่างดี

เมื่อราชวงศ์จักรีขึ้นครองอำนาจ ในการเปลี่ยนผ่านรัชกาลหลายครั้ง ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น เช่น เมื่อครั้งเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่ 2 สู่รัชกาลที่ 3 ก็เต็มไปด้วยเสียงเล่าลือ หรือที่เรียกกันในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ว่า พงศาวดารกระซิบกล่าวกันว่ารัชกาลที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยการวางยาพิษ  รัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์ ในขณะที่ผู้มีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์ตามกฎมณเฑียรบาลขณะนั้นคือเจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งต้องทรงผนวชอยู่ตลอดรัชสมัยของพระองค์  และเมื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่ 3 มาสู่รัชกาลที่ 4 ก็มีปัญหาความไม่เป็นเอกฉันท์ในหมู่เสนาอำมาตย์ว่าใครควรขึ้นครองราชย์ระหว่างเจ้าฟ้ามงกุฎและเจ้าฟ้าจุฑามณี จนในที่สุดก็ตกลงกันให้เจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าฟ้าจุฑามณีขึ้นเป็น พระเจ้าอยู่หัวองค์ที่ 2เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  แม้หลังจากมีการปฏิรูปการปกครองเข้าสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อสยามเข้าสู่ช่วง สยามใหม่และมีการตั้งตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร การเปลี่ยนผ่านรัชกาลก็หาได้มีความราบรื่นไม่ จนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้วหลังปี 2475  และสถาบันกษัตริย์ไม่ได้อยู่ในฐานะขององค์อธิปัตย์อีกต่อไป แต่อยู่ในฐานะขององค์ประธานของระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งก็น่าจะทำให้การเปลี่ยนผ่านรัชกาลไม่ควรจะมีความยุ่งยากอีกต่อไป เนื่องจากสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ถือครองอำนาจทางการเมืองอย่างเช่นก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่อาจจะเป็นเหตุของการแย่งชิงอำนาจ แต่เหตุการณ์เสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 8 และเปลี่ยนผ่านเข้าสู่รัชกาลที่ 9 กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทุกวันนี้ข้อเท็จจริงก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ในเวลานั้นประเด็นสถาบันกษัตริย์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานผู้นำทางการเมืองคนสำคัญคือ ปรีดี พนมยงค์ ให้ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ และส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองไทยอย่างมีนัยสำคัญ จนกระทั่งอำนาจการเมืองตกอยู่ไปอยู่ในมือของเผด็จการทหารในเวลาต่อมาเป็นช่วงเวลาหลายสิบปี

ปัจจุบัน ในท่ามกลางความขัดแย้ง ไร้เสถียรภาพ ของสังคมการเมือง จึงเป็นธรรมดาที่ผู้ที่มีความรู้และติดตามเหตุการณ์ทางการเมือง อย่างเช่น แขกรับเชิญในรายการตอบโจทย์ทั้งสามท่าน จะเล็งเห็นถึงภูเขาน้ำแข็งที่รอคอยสังคมไทยอยู่เบื้องหน้า

ภูเขาน้ำแข็งอันเป็นความคับขัน ยากลำบาก และล่อแหลมของสังคมไทยที่รออยู่ก็คือ การเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่ 9 ไปสู่รัชกาลที่ 10 นั่นเอง

สำหรับผู้ที่มีจุดยืนสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ย่อมคาดหวังให้การเปลี่ยนผ่านรัชกาลเป็นไปโดยราบรื่น

แต่ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะที่สะท้อนออกมาในช่วงวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อย ทั้งบุคคลทั่วไป และที่เคลื่อนไหวเป็นขบวนการ มีการแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดขั้วและเป็นการแสดงออกที่ทำให้เห็นลักษณะของการยึดติดกับตัวบุคคลอย่างคลั่งไคล้ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน หากแต่ไม่สามารถที่จะมองเห็นมิติที่มิได้เป็นบุคคลของสถาบันพระมหากษัตริย์ มิติของสถาบันกษัตริย์ในฐานะของสถาบันทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่ต้องสัมพันธ์กับหน่วยทางการเมืองอื่น ๆ 

สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการเมืองและสัมพันธ์กับวิกฤตการเมืองในลักษณะที่ประหลาดคือ ยิ่งวิกฤตการเมืองมีความรุนแรง และความขัดแย้งร้าวลึก กลับยิ่งมีการรณรงค์ จากทั้งหน่วยราชการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ปลุกระดม โน้มน้าว ให้ประชาชนจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ในฐานะบุคคล เข้มข้นยิ่งขึ้น พร้อม ๆ กับการกล่าวร้ายป้ายสีกันในเรื่องความจงรักภักดี และมีการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 และกฎหมายอื่นอย่างเข้มงวดโหดร้ายขึ้น 

ความเป็นไปทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการแก่งแย่งแข่งขันกันเสนอความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ในลักษณะของตัวบุคคล เกิดขบวนการในลักษณะที่อานันท์ ปันยารชุน และกิตติศักดิ์ ปรกติ ผู้ร่วมรายการตอบโจทย์เรียกว่า ทำตัวเป็นราชายิ่งกว่าราชาซึ่งก็ยังเป็นที่สงสัยว่าในสายตาของอานันท์ และกิตติศักดิ์ นั้นหมายถึงใคร?

แนวโน้มซึ่งผลักและเร่งให้มีการบังคับความจงรักภักดีต่อตัวบุคคลอย่างไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ นี้ ไม่มีความตระหนักแม้แต่น้อยว่า ยิ่งความรู้สึกต่อตัวบุคคลเข้มข้นมากขึ้นเท่าไร ความสามารถในการทำความเข้าใจสถาบันกษัตริย์ในฐานะของสถาบันที่มีความสืบเนื่องจากบุคคลสู่บุคคล และฐานะของสถาบันภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งต้องสัมพันธ์กับหน่วยทางการเมืองอื่น ๆ นั้น ก็ยิ่งลดน้อยถอยลงเท่านั้น

เพราะความคลั่งไคล้ไหลหลงจนลืมเหตุลืมผลเหล่านั้น แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะหยุดสถาบันกษัตริย์ไว้เพียงรัชกาลที่ 9 ไปชั่วกาล ซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจเป็นไปได้ในความเป็นจริง  ทว่าผู้ที่จงรักภักดีแบบยึดติดกับตัวบุคคลในลักษณะเหล่านั้น ต่างล้วนไม่มีคำตอบ และหลีกเลี่ยงที่จะตอบอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้าไม่สามารถหยุดสถาบันกษัตริย์ หยุดกาลเวลา ให้อยู่กับรัชกาลปัจจุบันไปชั่วกัลปาวสานแล้ว จะต้องทำอย่างไร จึงเป็นผลดีกับสังคมไทย และตัวสถาบันกษัตริย์เอง อย่างที่สุด

ทั้งที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยซึ่งสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ แต่ผู้คลั่งไคล้ไหลหลงต่อสถาบันกษัตริย์ในฐานะตัวบุคคลเหล่านั้น กลับปิดหูปิดตา ไม่สนใจสถาบันกษัตริย์ในฐานะของสถาบัน และพร้อมที่จะละเมิดรัฐธรรมนูญ พร้อมที่จะลากดึงหรือยินยอมให้สถาบันกษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองเช่นผู้ที่ต้องการถวายคืนพระราชอำนาจ หรือแม้แต่กลุ่มคลื่อนไหวปฏิบัติการทางการเมืองในนามของสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของกลุ่มพันธมิตรฯ  กรณีของกลุ่มคนเสื้อน้ำเงิน  หรือกลุ่มอาสาปกป้องสถาบันกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มสำนักข่าวทีนิวส์ กลุ่มหมอตุลย์ และกลุ่มอื่น ๆ อีกมากมาย  ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีส่วนสั่นคลอนรากฐานของสถาบันกษัตริย์ในฐานะของสถาบันตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

หากไม่สามารถยุติการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์  หากไม่สามารถหยุดการล่าแม่มด  ไม่สามารถหยุดการแข่งกันแสดงความจงรักภักดีอย่างมืดบอด  ไม่สามารถหันมามองสถาบันกษัตริย์ในฐานะสถาบันที่สัมพันธ์กับหน่วยทางการเมืองอื่น ๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในกรอบของระบอบประชาธิปไตย  ไม่สามารถอภิปรายถกเถียงกันในเรื่องการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ในสังคมการเมือง อย่างเปิดเผย โปร่งใส ภายใต้กรอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และภายใต้การเคารพสิทธิ เสรีภาพของประชาชนซึ่งเป็นหน่วยอำนาจอธิปไตยได้  ภูเขาน้ำแข็งซึ่งรอคอยอยู่ข้างหน้าย่อมรอคอยที่จะกลายเป็นโศกนาฏกรรม

สิ่งที่ชวนขันขื่นอย่างยิ่งก็คือ โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่นี้อาจจะไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างเหลืองแดงหรือสีใด ๆ ด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นการฆ่ากันเองในหมู่ผู้ที่อ้างความจงรักภักดีที่ยึดติดกับตัวบุคคลและไม่สามารถที่จะมองเห็นสถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่สามารถจะดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างยั่งยืน  เมื่อเหล่าผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันในลักษณะบุคคลาธิษฐานกลายเป็นผู้ไม่มีความสามารถที่จะจงรักภักดีกับสถาบันกษัตริย์ในฐานะสถาบันในกรอบของรัฐธรรมนูญ คนเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคของการดำรงอยู่ต่อไปของสถาบันกษัตริย์


Comments