คัมภีร์แห่งห่วงทั้งห้า
ชินเมน มุซาชิ หรือ มิยาโมโต มุซาชิ
เป็นนักดาบที่มีชีวิตอยู่เมื่อสี่ร้อยปีก่อน
ประเทศญี่ปุ่นเวลานั้น
นักดาบเป็นชนชั้นหนึ่งที่มีบทบาทอย่างสูง มีวัฒนธรรม และ "วิถีทาง"
เฉพาะที่แน่นอน และถูกนับเป็นหนึ่งในเจ็ดอาชีพหลักของชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้น
ในอาชีพนักดาบด้วยกันยังแบ่งระดับชนชั้น
ตั้งแต่ "โรนิน" (นักดาบเร่ร่อน) ไปจนถึง "ซามูไร"
ที่มียศถาบรรดาศักดิ์ บรรดา
"โชกุน" และ "ไดเมียว" ซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง
และอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของสังคมก็ถือว่าเป็นชนชั้นนักดาบด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะมีนักดาบหลายลักษณะ
แต่ทั้งหมดนั้นจะยึดถือหลักการเดียวกัน ก็คือ "บูชิโด" ซึ่งก็แปลได้ว่า
วิถีทางของผู้ชายนักรบ
ระดับของนักดาบที่ยึดถือในวิถีทางของบูชิโดนี้
นอกจากระดับภายนอกที่แบ่งได้จากยศถาบรรดาศักดิ์แล้ว ก็ยังมีระดับภายในอีก
ระดับภายในนี้ยึดถือ การบรรลุความสูงสุดในวิถีของบูชิโดเป็นสำคัญ และสภาวะสูงสุดของบุชิโดนั้น
เรียกกันว่า "ซาโตริ" ซึ่งเทียบได้กับสภาวะ "อรหันต์"
สำหรับนักบวช
มุซาชิเริ่มประดาบครั้งแรกเมื่ออายุสิบสาม
และผ่านการประลองยุทธมากกว่าหกสิบครั้งก่อนอายุสามสิบ
มุซาชิพิชิตยอดฝีมือเจ้าสำนักดาบต่าง ๆ จนเป็นที่เลื่องลือ ช่วงก่อนอายุสามสิบจึงเป็นช่วงที่ชื่อเสียงของเขาขจรขจายในหมู่นักดาบ
หลังจากนั้น เขาหายไปจากยุทธจักร
ไม่มีใครรู้ชีวิตในช่วงสามสิบถึงห้าสิบปีของเขานัก
มีแต่คัมภีร์เล่มหนึ่งที่เขาเขียนให้แก่ศิษย์ในสำนัก ที่ตกทอดต่อมา
จากคัมภีร์เล่มนี้ทำให้รู้ว่าเวลาในช่วงนั้นเขาได้ใช้ไปกับการใคร่ครวญวิถีชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด
เขาได้เขียนไว้ในคัมภีร์ว่าเขาใช้ช่วงเวลาตั้งแต่ยี่สิบเก้าปี
หลังจากผ่านการประลองยุทธนับครั้งไม่ถ้วน
ฝึกฝนเพื่อค้นหาคำตอบว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยปราชัย
จนกระทั่งอายุห้าสิบเขาจึงค้นพบบางสิ่งบางอย่างดังที่เขากล่าวว่า "ข้าก็ได้เผชิญกับหนทางที่แท้ของ
เฮอิโฮ"
มุซาชิก่อตั้งสำนักดาบของตนเองขึ้น
ตั้งชื่อว่า "นิเตน อิจิริว" เรียกว่า สวรรค์สองชั้นถือเป็นหนึ่งสำนัก
บางครั้งเรียกว่า นิโต อิจิริว หรือ ดาบคู่ถือเป็นหนึ่งสำนัก
เมื่ออายุหกสิบเขาได้เขียนสาระสำคัญทั้งหมดในวิชาของเขาลงในคัมภีร์เล่มหนึ่ง
สาระสำคัญนั้นเขาเรียกมันว่า วิถีทางแห่ง "เฮอิโฮ"
มุซาชิ
เป็นนักดาบที่ฝึกฝนตนเองตั้งแต่เด็ก ปราศจากครูหรือสำนักที่แน่นอน
เขายอมรับว่าตนเองเป็นชนชั้นนักรบเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในวิถีของบูชิโด
หากแต่เขาก็บัญญัติคำว่า "เฮอิโฮ" ขึ้นเพื่ออธิบายวิถีทางของเขาแทนคำว่า
บูชิโด และในวิถีแห่งเฮอิโฮ
มุซาชิไม่เคยเอ่ยคำว่า "ซาโตริ"
เขาไม่ยอมรับวิชาของสำนักดาบที่ฝึกกันในโรงฝึก ไม่ยอมรับการขายวิชาหากิน
การไต่เต้าไปสู่ยศถาบรรดาศักดิ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญของเฮอิโฮ
และบิดเบือนให้ห่างไกลจากหนทางของเฮอิโฮ
เฮอิโฮคือการต่อสู้
คือการรบในทุกที่ทุกสถานการณ์ และไม่จำกัดว่าเป็นการรบขนาดใหญ่ (สงคราม)
หรือการรบตัวต่อตัว แต่หลักของเฮอิโฮ คือหลักการของการเป็นผู้พิชิต
ในเฮอิโฮ
มุซาชิยังคงอ้างอิงหลักการของบูชิโด แต่บูชิโดเป็นเพียงเฮอิโฮในวิถีทางหนึ่ง
มุซาชิ แบ่งส่วนหลัก ๆ ของคัมภีร์เป็นห้าส่วน
คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และ ความว่าง ส่วนต่าง ๆ มีความสำคัญตามสารัตถะของมัน
ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งบนวิถีทางของเฮอิโฮ มุซาชิไม่ได้บอกว่าอะไรคือสิ่งสูงสุด
แต่ทั้งหมดเป็นธรรมชาติของการต่อสู้กันถึงชีวิต
การสู้กันจริง ๆ
ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันเป็นสิ่งที่ไม่มีกฏเกณฑ์อันใดทั้งสิ้น
นอกจากวิถีทางของเฮอิโฮ วิชาที่ใช้สำหรับ "ขาย"
จึงเป็นสิ่งที่มุซาชิปฏิเสธ ในบางตอนของคัมภีร์เล่มนี้ เขากล่าวว่า
"แต่ละสำนักเหล่านี้ เห็นว่า
เฮอิโฮ เป็นเพียงศิลปะแขนงหนึ่งเท่านั้น
พวกนั้นเดินห่างจากหนทางที่แท้จริงไปโดยการตกแต่งขัดเกลาเพื่อให้วิชาของตนเป็นสินค้าที่สามารถนำออกขายได้
ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่าพวกนั้นมองผลงานของตนในฐานะเครื่องมือยังชีพ
วิชาเหล่านั้นจำกัดอยู่แค่การฝึกกลยุทธดาบ
พยายามที่จะหาวิธีพิชิตชัยโดยเพียงแต่ฝึกฝนการกวัดแกว่งดาบยาวให้ร่างกายอยู่ในสภาพดี
และขัดเกลากลยุทธของพวกตน ซึ่งมิใช่หนทางที่แท้"
ภูมิปัญญาของมุซาชิ เป็นภูมิปัญญาของนักรบ
ในช่วงเวลาที่ดาบยังเป็นวัฒนธรรมของสังคม
เป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นจากการนำชีวิตเข้าไปอยู่ในวงจรของการสู้รบอย่างแท้จริง
ปัญญาเหล่านี้จึงไม่ได้เกิดจากการ "สังเกต" หรือ "สมมุติ" แต่เกิดจากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ครบถ้วนด้วยปัจจัยที่จะดับชีวิตของคน
ๆ หนึ่งลง ไม่ได้มีสิ่งล้อเล่นอันใด และไม่สามารถ "restart"
ได้ เช่นในเกมเคาเตอร์สไตรค์
และคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่ใช่งานวรรณกรรมหรืองานปรัชญา
มันไม่ได้ถูกเขียนขึ้นให้ยอกย้อน วิธีที่จะสื่อสารกับมันต้องใช้ความตรงไปตรงมา
ถึงแม้เราจะสามารถอ่านมันด้วยจุดมุ่งหมายอื่น
แต่มันจะต่างอะไรกับการอ่านตำราทำอาหาร การอ่านมันตรง ๆ จึงเป็นสิ่งที่สมควรกว่า
คัมภีร์ของมุซาชิตกทอดมาถึงปัจจุบัน
เป็นคัมภีร์สำคัญเล่มหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นภูมิปัญญาโบราณ ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง
ๆ สำหรับภาษาไทย สุริยฉัตร ชัยมงคล
นักแปลซึ่งสิ้นชีพไปแล้วได้แปลไว้เป็นเวลานานแล้ว หนังสือขาดตลาดไปช่วงเวลาหนึ่ง
ปัจจุบันเพิ่งได้รับการพิมพ์ซ้ำในชื่อ "คัมภีร์แห่งห่วงทั้งห้า"
พิมพ์ครั้งแรก a
day weekly 2-8 มิถุนายน 2548
Comments
Post a Comment