โปรดจงโอบกอดฉันเอาไว้






ถ้าจะมีคนหนุ่มสาวในเวลาหนึ่งเคยคลั่ง เงาสีขาว  คนหนุ่มสาวอีกเวลาหนึ่งหลง ระบำเมถุน  แล้วเหตุใดคนหนุ่มสาวในเวลานี้จะมีสักจำนวนที่รู้สึกว่า โปรดจงโอบกอดฉันเอาไว้ ของปรีดี หงส์ต้น โดนไม่ได้

ท้าทาย ระบายออก ตั้งคำถามอย่างมาดมั่น เต็มไปด้วยพลัง ทะเยอทะยาน หมกมุ่นในเรื่องเพศ มีอุดมคติ สำส่อน รักความเป็นธรรม เฟื่องฝัน พลั่งพรู ฟุ้งกระจาย หยาบโลน กระหายที่จะแสดงออก และอีกหลากหลายชาติสมบัติของวรรณกรรมคนหนุ่มสาวล้วนเป็นส่วนผสมของนิยายเรื่องนี้

นิยายเรื่องนี้มีความคมคาย ทะเยอทะยานทางความคิด เต็มไปด้วยพลังที่ต้องการจะอรรถาธิบายปรากฏการณ์ร่วมสมัย โดยเฉพาะปรากฏการณ์ทางการเมือง นิยายได้รวบรวมเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ในช่วงเวลา 78 ปี เข้ามาเป็นฉาก กระทั่งเป็นส่วนสำคัญของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ไข้หวัดนก, ม็อบพันธมิตร, เด็กนักเรียนหัวก้าวหน้าที่ฆ่าตัวตาย  ฯลฯ  ฉายภาพอารมณ์และอุดมคติของคนหนุ่มสาวใน พ.ศ. นี้ท่ามกลางความสับสน ขณะเดียวกันก็พยายามจะเชื่อมต่อกับวรรณกรรมและอุดมคติในอดีต  พร้อมกันนั้น ก็เสนอข้อสรุป และบทวิพากษ์ ทั้งทางวรรณกรรม และการเมือง

ท่วงทำนองในบางช่วงตอนของโปรดจงโอบกอดฉันเอาไว้มี กลิ่นของเงาสีขาวที่ แรงจน ทำให้นิยายเล่มนี้ดำเนินตามรอยระบำเมถุนของอุทิศ เหมะมูล  เพื่อตอกย้ำวรรณกรรมหนุ่มสาวที่ยังไปไม่พ้นเงาของเงาสีขาว

นอกจากนี้ยังมีข้อบกพร่องที่เกี่ยวกับทั้งการดำเนินเรื่องและตัวละคร

ตัวละคร เพื่อน ๆและ คู่ขา ของ อัญชิสา กมลเกสรสมบัติ ปรากฏขึ้นในฉากแรกแล้วค่อย ๆ หายศีรษะไปจนหมดสิ้น และไม่ปรากฏขึ้นมาอีก เสมือนไม่เคยมีอยู่ในจักรวาลนี้

พ่อของอัญชิสา กับ พ่อของสุวิทย์ ซึ่งควรจะอยู่ในวัยเดียวกัน หรือแม้แต่เป็นคนเดียวกัน กลายเป็นตัวละครไม่สมประกอบ บุคลิกภาพฟั่นเฟือน แม้จะอ่านด้วยความตระหนักว่าอัญชิสาเป็นโรคอัลไซเมอร์ก็ยังไม่สมเหตุผลอยู่ดี

ความจำของอัญชิสาและสุวิทย์เกี่ยวกับพ่อในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 และ เหตุการณ์ พฤษภา 35  ซึ่งตามโครงเรื่องที่เฉลยออกมาภายหลังควรจะมาจากสำนึกทรงจำของคน ๆ เดียวกัน แต่กลับขัดกันอย่างน่าประหลาด

คำพูดของ พ่อกุญชร ถึงเหตุการณ์ กรือแซะ” (เดือนเมษายน ปี 2547) ชวนสะดุดอย่างยิ่ง สะท้อนให้เห็นการขาดความแม่นยำในอารมณ์ จนเหมือนคล้ายกลายกลืนมึนมั่วเข้ากับเหตุการณ์ ตากใบ” (ตุลาคม ปีเดียวกัน) เพราะเขียนขึ้นโดยการมองย้อนหลังแล้วเอามาปนกัน

ถ้านี่เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ระยะใกล้ ฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ทางการเมือง ก็ปราศจากความแม่นยำ พร่ามัวเหมือนคนถ่ายภาพจับโฟกัสไม่ถูก

อัญชิสา กมลเกสรสมบัติ เป็นตัวละครหลักที่เหมือนสร้างขึ้นมาจากชิ้นส่วนของสิ่งที่ไม่ใช่ของกันและกัน  นี่ไม่ใช่ศิลปกรรมที่เกิดขึ้นอย่างมีเจตนา แต่เป็นความไม่สามารถที่จะสร้างตัวละครขึ้นมาให้น่าเชื่อถือ ไพล่ไปใช้วิธีฉาย ภาพพจน์เป็นส่วน ๆ   ไม่อาจแสดงบุคลิกภาพของอารมณ์ หรือเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวละคร  ตัวละครตัวนี้ไม่ได้มีบุคลิกภาพที่เข้าใจได้ยากหรอก แต่มันเข้าใจไม่ได้เพราะสร้างขึ้นมาจากจินตนาการที่เข้าไม่ถึงตัวละคร มีแต่ภาพพจน์ภายนอกแต่ไม่มี วิญญาณ  หยิบยืมบุคลิกภายนอกที่เห็นจากที่ใดที่หนึ่ง แต่ไม่สามารถตีความเนื้อหาที่ก่อร่างขึ้นเป็นบุคลิกภาพนั้นได้ และความคิดอ่านอันฉาดฉานที่ใส่เข้ามาก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อยในท่ามกลางโครงเรื่องที่ยุ่งเหยิง

แม้ตัวละครชนชั้นกลางหลัก ๆ จะเต็มไปด้วยรายละเอียดจนฟุ้ง แต่ตัวละครชนชั้นล่างอย่าง ทนง กลับทำได้หยาบ ขาดรายละเอียด ถูกทอดทิ้งจนแทบไม่มีบทบาทต่อเรื่อง

นิยายดำเนินเรื่องตัดไปตัดมา เล่นกับมุมมองและการเล่าเรื่อง แต่โครงเรื่องกลับอ่อนยวบ

แน่ละว่าข้อบกพร่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับพลังอารมณ์แห่งวัยหนุ่มสาว เราควรจะเรียกร้องรสชาติอันสุขุมกว่านี้จากนักเขียนหนุ่มหรือไม่ หรือเราควรมองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วแสดงความชื่นชมกับแรงอารมณ์และการแสดงออกที่เต็มไปด้วยพลังความคิดสดใหม่ นิยายเรื่องนี้ต้องการพิชิตหลายสิ่งหลายอย่างเต็มไปหมด หลายเรื่องหลากประเด็น แต่ความละเอียดอ่อนไม่เพียงพอ ขาดแคลนความรอบคอบ กำพร้าความสุขุม มากด้วยสิ่งไม่รัดกุม กระนั้นมันก็ยังเป็นนิยายที่ชวนติดตาม รสชาติจัดจ้าน ส่งกลิ่นยั่วเย้า

การดำเนินเรื่องได้รับอิทธิพลจากหนัง ตัวละครอย่าง อุษณา กมลเกสรสมบัติ อ่านไปก็นึกถึงหน้านิโคล คิดแมน ในบทเวอร์จิเนีย วูลฟ์ ในหนังเรื่อง The Hours ของ สตีเฟน ดันดรี ไป  ภาษาที่ใช้เล่าเรื่องอ่านได้ราบลื่นถ้าตัดกลิ่นแดนอรัญออก แต่การใช้ภาษาตลอดเรื่องก็ไม่ใช่สิ่งที่โดดเด่นนัก

ส่วนที่โดดเด่นที่สุดในนิยายเรื่องนี้คือความคิดและองค์ประกอบทางสังคมต่าง ๆ ที่ผู้เขียนรวบรวมเข้ามาอยู่ในโครงเรื่อง แม้จะเต็มไปด้วยจุดอ่อนแต่ก็เป็นวรรณกรรมที่ได้บันทึกอารมณ์และอุดมคติของคนหนุ่มสาวในช่วงเวลาแห่งความอลหม่านซึ่งเป็นหมุดหมายหนึ่งที่ต้องจารเอาไว้

และที่สำคัญนิยายเรื่องนี้ได้เสนอคำถามอันแหลมคมที่ผู้ใหญ่ไม่กล้าถาม จึงควรที่จะบันทึกไว้ว่ามันได้ธำรงรักษาชาติสมบัติอันควรสรรเสริญของคนหนุ่มสาวทุกสมัย นั่นก็คือความกล้า แม้ว่าจะกล้าได้ไม่ถึงครึ่งของความกล้าท้าในเรื่องเพศ แต่มันย่อมประเสริฐกว่าความไม่กล้าแม้แต่น้อยนิดในหมู่วรรณกรรมผู้ใหญ่ร่วมสมัยเดียวกับมันที่มีต้นทุน วุฒิภาวะ ประสบการณ์ อันพอเพียงยิ่งกว่า

Comments