ในหุบเขา
สำหรับวรรณกรรมไทย ความหมายของกวีนิพนธ์ยังคงเป็นสิ่งที่คลุมเครือ
และมีนิยามที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะยึดถือจากรูปแบบหรือความมุ่งหมายของชิ้นงาน
ในโลกของวรรณกรรมสมัยใหม่ ชิ้นงานที่เรียกว่าบทกวีนั้น
แยกแยะโดยท่วงท่าของความมุ่งหมายเป็นหลัก
กวีนิพนธ์คือสิ่งที่มุ่งจับสิ่งที่มองไม่เห็น เหมือนไม่มีอยู่ ไร้ตัวตน
สิ่งที่เล็ก สิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าในโลกของวรรณกรรมสมัยใหม่
กวีนิพนธ์ได้รับเกียรติให้เป็นรูปแบบของงานเขียนที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดในการกระทำสิ่งดังกล่าวมา
วรรณกรรมไทยแต่เดิม
ไม่มีคำว่าบทกวีหรือกวีนิพนธ์ มีแต่โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ฯลฯ
ซึ่งเป็นรูปแบบการเขียนที่ใช้ทำหน้าที่เดียวกับการเขียนร้อยแก้วในปัจจุบัน
ต่อเมื่อการเขียนร้อยแก้วได้รับการพัฒนาขึ้น
โดยรับอิทธิพลจากวรรณกรรมจีนและวรรณกรรมตะวันตกเป็นหลัก งานร้อยกรองจึงค่อยตกไปจากการทำหน้าที่เล่าเรื่องในสังคม
และถ่ายเทไปสู่ความเป็นกวีนิพนธ์ในฐานะของรูปแบบงานเขียนที่ใช้ในการกล่าวถึงนามธรรม
โดยทั่วไปแล้ว
มักนับให้งานประพันธ์ที่เขียนด้วยฉันทลักษณ์ต่าง ๆ เป็นบทกวี
ส่วนงานที่ปราศจากรูปแบบที่แน่นอนแต่มีลักษณะเป็นกลุ่มคำสั้น ๆ
ที่แตกต่างจากร้อยแก้ว ก็มักจะเรียกกันรวม ๆ ว่ากลอนเปล่า
สำหรับวรรณกรรมไทยที่มีรากเหง้าทางการเขียนร้อยกรองเป็นแบบแผนฉันทลักษณ์ซึ่งกำหนดมาแต่กรุงศรีอยุทธยา
เสียงและจังหวะคือสิ่งสำคัญยิ่งที่แยกแยะความเป็นบทกวีฉันทลักษณ์ออกจากกลอนเปล่า
กลอนเปล่าในวรรณกรรมสมัยใหม่โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นกลอนเงียบ หมายถึงเป็นบทกวีที่มิได้มุ่งเขียนให้อ่านออกเสียงเป็นหลัก
มิได้ให้ความสำคัญต่อการจัดรูปแบบของเสียงและจังหวะ
หรือหากมีการจัดรูปแบบของเสียงและจังหวะก็เป็นไปอย่างไม่ซับซ้อน
และไม่มีแบบแผนหรือโครงสร้างตายตัวอย่างแบบแผนของบทกวีฉันทลักษณ์
กล่าวโดยนัยนี้ หนังสือบทกวี ในหุบเขา ของกนกพงศ์
สงสมพันธุ์ จึงนับได้ว่าเป็นบทกวีเงียบ เข้าลักษณะของกลอนเปล่า
ไม่มีแบบแผนโครงสร้างของเสียงและจังหวะที่ซับซ้อน
มีการใช้เสียงและจังหวะในบทกวีชุดนี้ หากแต่เป็นไปอย่างไม่เคร่งครัด และไม่เจาะจง
ออกจะเป็นการปล่อยไปตามธรรมชาติของคำ คล้ายการร้องเพลงพื้นบ้านโบราณ
แต่อ่านได้โดยไม่ต้องออกเสียง
ด้วยไม่จำเป็นต้องจัดการกับเสียงและจังหวะ
รูปแบบของการใช้คำจึงเป็นอิสระจากการนั้น
ทว่าสิ่งที่เข้ามากำกับการใช้คำแทนเสียงและจังหวะกลับไปตกอยู่กับ “ความ”
อย่างเต็มที่
การที่ “ความ”
เป็นสิ่งเดียวหรือเป็นสิ่งหลักในการกำหนดคำในบทกวีเล่มนี้
จึงทำให้บทกวีมีลักษณะของการเล่นกับความ และมีการจัดจังหวะของความ (แทนคำและเสียง)
เป็นบทกวีที่เหมาะกับการอ่านในใจ หรือจะอ่านออกเสียงก็ได้รสแบบเรื่องเล่า
แต่จะไม่ได้ความไพเราะอย่างบทกวีฉันทลักษณ์
มองในแง่ของการจัดจังหวะและการสัมผัสความ
บทกวีชุดในหุบเขามีความเคร่งครัดต่อความอยู่ไม่น้อย
ทำให้ภาพรวมของกวีนิพนธ์ชุดนี้มีความนิ่ง มีความหนักแน่นในด้านเนื้อหา
และให้ภาพพจน์ที่แจ่มกระจ่าง
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องของรูปแบบงานกวีนิพนธ์ของหนังสือ
ในหุบเขา
โดยวันเวลาและสถานที่จากหมายเหตุการเขียน
จะเห็นได้ว่าบทกวีเล่มนี้เขียนขึ้นในฐานะบันทึกชีวิตประจำวันในหุบเขาของผู้เขียน
เป็นการเขียนบันทึกที่ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 – 2548
เท่ากับผู้เขียนคอยบันทึกอะไรบางอย่างเป็นระยะตลอดเวลาเกือบ 5 ปี
และอะไรบางอย่างดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ สถานที่เดียวกัน คือ ในหุบเขา
ภาพปกและภาพประกอบของหนังสือในหุบเขา
เป็นภาพถ่ายท้องฟ้าโดยกนกพงศ์ ทุกภาพเป็นภาพท้องฟ้าจากมุมเดียวกัน
แตกต่างกันเพียงเวลาของการถ่าย
แต่ภาพท้องฟ้าเหล่านั้นแม้จะถ่ายจากมุมเดียวกันกลับไม่มีภาพใดเหมือนกันเลยแม้เพียงภาพเดียว
สีของฟ้า รูปร่างของก้อนเมฆ ตำแหน่งของดวงอาทิตย์
และความเข้มจางของแสงล้วนแตกต่างกันทุกภาพ
จากคำนำของสำนักพิมพ์
ทำให้ทราบว่าการถ่ายภาพท้องฟ้า และการเขียนบทกวีชุดในหุบเขา
เป็นกิจกรรมคู่ที่ผู้เขียนกระทำเป็นประจำตลอดช่วงเวลา 5
ปีสุดท้ายของชีวิต ในสถานที่ที่เขาเรียกว่า “หุบเขาฝนโปรยไพร”
เช่นเดียวกับภาพท้องฟ้า
บทกวีแต่ละบทในหนังสือเล่มนี้ล้วนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน เป็นอิสระต่อกัน
แต่ขณะเดียวกัน ก็จะมีบางสิ่งที่ซ้ำ ๆ
กันซึ่งทำให้เรารู้ว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบทกวีทุกบทนั้น เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกัน
หญิงสาว, ตาลุกาโป
และเมียของตาลุกาโป เป็นตัวละครที่จะพบได้ทั่วไปในบทกวีชุดนี้ ขณะเดียวกัน ท้องฟ้า
เมฆ นก ไก่ งู ดอกไม้ ลูกมะพร้าว ต้นไม้ ลม ฝน กระรอก ค้างคาว
และอีกหลายสิ่งหลายอย่างก็เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในบทกวีชุดนี้เช่นกัน
สำหรับบทกวีชุดนี้ ทั้งคนและธรรมชาติ ตกอยู่ในฐานะของตัวละครในการแสดงนาฏลีลา
และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังนาฏลีลานี้ คือสายตาที่ต้องการเสนอภาพของโลกใบหนึ่ง
มีความเป็นเรื่องเล่า ซุกซ่อนด้วยอารมณ์ขัน
รุ่มรวยความอ่อนไหว
คุณสมบัติทั้งหมดจะช่วยให้เราอ่านหนังสือเล่มนี้ได้โดยรวดเดียวจบ และสามารถอ่านแยกแต่ละบทซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างเพลิดเพลิน
สำหรับสังคมสมัยใหม่ซึ่งห่างเหินจากโลกธรรมชาติแบบชีวิตในหุบเขา
กวีนิพนธ์เล่มนี้จะทำความแห้งผากให้ชุ่มชื่นขึ้น จะทำความแล้งร้อนให้เยือกเย็นลง
กลวิธีในการเขียนบทกวีชุดนี้ของผู้เขียนเป็นกลวิธีที่เรียบง่าย
เช่นเดียวกับการถ่ายภาพท้องฟ้าจากมุมเดียวกันทุกวัน ๆ เป็นความเรียบง่ายที่ต้องการความต่อเนื่อง
สม่ำเสมอ และเป็นปรกติ
เป็นการเกี่ยวร้อยปรากฏการณ์อันเป็นปรกติเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ด้วยความเยือกเย็นและความสม่ำเสมอเท่านั้นจึงสามารถรังสรรค์ผลงานอันเรียบง่ายเช่นนี้
“ความเป็นปรกติ” และ
“ความสามัญธรรมดา” คือนัยสำคัญของบทกวีในหุบเขา
ผู้เขียนไม่สามารถที่จะกำหนดโครงเรื่อง หรือเวลาการเขียนเช่นงานเขียนทั่วไป ทว่า
ผู้เขียนต้องประพฤติตนประหนึ่งนักวิจัยที่อดทน สังเกตการณ์สิ่งเดิม ๆ เก็บตัวอย่าง
ต่อเนื่องยาวนานนับเป็นปี ๆ
ด้วยมรรควิถีเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถรังสรรค์ความปรกติธรรมดาขึ้นเป็นงานศิลปะ
และด้วยคุณสมบัตินี้ ทำให้กล่าวได้ว่า ในหุบเขา
คืองานกวีนิพนธ์ที่สวนกระแสการสร้างงานศิลปะในปัจจุบันที่มุ่งเน้นแต่ความรวดเร็วรวบรัดและให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์อย่างบ้าคลั่ง
เรียกร้องความสนใจด้วยรูปแบบและใช้เวลาเพียงเศษเสี้ยวสำหรับเนื้อหา
กวีนิพนธ์ในหุบเขาเป็นทั้งการสวนกระแสดังกล่าว และเป็นทั้งการวิพากษ์กระแสดังกล่าว
นี่คือความหมายทางวรรณกรรมที่มีต่อสังคมวรรณกรรมร่วมสมัยที่มีความสำคัญยิ่ง
เมื่อความหมายมุ่งจะไม่ซ้ำเป็นความซ้ำที่ซ้ำซาก
เมื่อความพยายามจะเปลี่ยนคือการไม่เปลี่ยนอะไรเลย
เมื่อความหมายเหล่านี้ถูกยอกย้อนกลับไปมา ความซ้ำกลายเป็นความไม่ซ้ำ
ความไม่มุ่งหมายจะเปลี่ยนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง คือเรื่องราว ความหมาย
และพลังของปรากฏการณ์ซึ่งมนุษย์ยังต้องค้นต่อไป และในการผจญภัยนี้
ดูเหมือนวิถีของกวีนิพนธ์จะยังเป็นหนทางที่ตรงที่สุด
และบทกวียังคงเป็นรูปแบบทางการเขียนที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุด
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เสียชีวิตลงด้วยวัยเพียง 40 ปี
ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ของปีนี้
ยังความเศร้าสลดอันใหญ่หลวงแก่วงวรรณกรรมไทย
กนกพงศ์
สงสมพันธุ์เป็นนักเขียนที่กล้าประกาศตนเป็นนักเขียน “เพื่อชีวิต”
ในช่วงเวลาที่แนวทางศิลปะที่เรียกว่าเพื่อชีวิตเริ่มจะโรยรา
งานเขียนที่โดดเด่นที่สุดของเขาคืองานประเภทเรื่องสั้น
มีผลงานรวมเรื่องสั้นที่ตีพิมพ์แล้วทั้งหมด 4
เล่ม (สะพานขาด (2534), คนใบเลี้ยงเดี่ยว (2535), แผ่นดินอื่น
(2539), โลกหมุนรอบตัวเอง (2548)) และกำลังรอการตีพิมพ์อีก
2 เล่ม ผลงานเล่มสำคัญคือ สะพานขาด
เป็นรวมเรื่องสั้นเล่มแรก และ แผ่นดินอื่น
เป็นรวมเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลซีไรต์เมื่อปี 2539
นอกจากรวมเรื่องสั้น กนกพงศ์ยังมีผลงานรวมเล่มบทกวี
2 เล่ม (ป่าน้ำค้าง (2532), ในหุบเขา
(2549)) และ ความเรียง อีก 2
เล่ม (บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร (2544), ยามเช้าของชีวิต (2546)) ป่าน้ำค้าง คือ
บทกวีซึ่งเป็นผลงานเล่มแรกในชีวิต
กนกพงศ์เขียนหนังสือตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 14 ปี
มีผลงานตีพิมพ์ครั้งแรกในขณะที่เรียนมัธยมต้น
เป็นนักเขียนแนวสร้างสรรค์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
ได้รับรางวัลช่อการะเกด 2 ครั้ง
และได้รับเกียรติเป็นนักเขียนดีเด่นของอาเซียนโดยสถาบันวัฒนธรรมเดวานของมาเลเซีย
เรื่องสั้น สะพานขาด และเรื่องสั้น
แมวแห่งบูเก๊ะกรือซอ เป็นเรื่องสั้นชิ้นสำคัญที่ส่งให้กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
เป็นนักเขียนเพื่อสันติภาพของภาคใต้คนสำคัญ เรื่องสั้นแมวแห่งบูเก๊ะกรือซอ
ซึ่งอยู่ในรวมเรื่องสั้นแผ่นดินอื่น
เป็นเรื่องสั้นที่เปิดโปงปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างลึกซึ้งคมคาย
สำหรับวงการนักเขียนวรรณกรรมสะท้อนสังคม กนกพงศ์เป็นนักเขียนที่ได้รับการคาดหวังว่ามีศักยภาพสูงที่สุดในการเขียนวรรณกรรมเพื่อสันติภาพ
เปิดโปงปัญหา
และสร้างสำนึกความเข้าใจต่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังลุกเป็นไฟอยู่ในขณะนี้
หลังจากกนกพงศ์เสียชีวิต
เขาทิ้งผลงานเรื่องสั้นและบทกวีที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ถึง 3
เล่ม นิยายที่ยังเขียนไม่เสร็จ 3 เรื่อง
หนึ่งในสามเรื่องนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
กวีนิพนธ์ในหุบเขา คือ
หนังสือเล่มหนึ่งที่เป็นมรกดผลงานของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์
ตีพิมพ์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้วสองเดือน
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร IMAGE
Comments
Post a Comment