วิจารณ์ศศิน เฉลิมลาภเรื่องจิตสำนึกสาธารณะ
นี่เป็นข้อเขียนที่วิจารณ์ความคิดของศศิน
เฉลิมลาภ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ค่อนข้างยาวนะครับ ถ้าปรินท์ออกมาก็ประมาณ 4
หน้าเอสี่
ในบทสัมภาษณ์ของโพสต์ทูเดย์ ศศิน เฉลิมลาภ พูดว่า
“ตอนนี้แค่อยากให้วางรากฐานอะไรให้ดี ๆ
ใช้ความรวดเร็วขณะที่บ้านเมืองยังไม่มีฝ่ายค้านสะสางปัญหาต่าง ๆ เช่น
การปราบปรามขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูง รีสอร์ทที่บุกรุกป่า จัดระเบียบชายหาด ที่ทำอยู่นี้เป็นเรื่องน่าชื่นชม
หรือการออกกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม แต่คิดว่าคงไม่มีใครชงเข้าไปหรอก
เพราะยุคนี้เป็นยุคของการพัฒนา ไม่ใช่ยุคของสิ่งแวดล้อม”
และ
“...คนไม่เคยมีจิตสำนึกเรื่องป่าอยู่แล้ว
เพราะคนจนก็มีข้ออ้างว่าทำเพื่อความยากจน คนรวยก็เป็นธรรมชาติของเขาที่จะต้องแสวงหาผืนดินสวย
ๆ ไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ ไอ้จิตสำนึกตรงนี้ไม่ต้องไปเรียกร้องหรอก
เพียงแต่ว่าจะทำยังไงให้คนที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดีกว่า
ทำยังไงไม่ให้ป่าสงวนโดนรุก ต้องแค้นให้ถูกเป้า เฝ้าให้ถูกศาล ป่าสงวนหมดแน่ภายใน
5 ปี ถ้าหน่วยป้องกันรักษาป่ายังไม่ทำงานเต็มที่”
จริง ๆ
ในมุมมองของการรักษาสิ่งแวดล้อมที่มองเห็นเรื่อง “จิตสำนึก” ไม่สำคัญ หรือเป็นปัญหาที่แก้ไม่มีวันได้ แบบที่ศศินพูดว่า “ไม่ต้องไปเรียกร้องหรอก
เพียงแต่ว่าจะทำยังไงให้คนมีหน้าที่ควบคุมดูแลทำงาน...” ก็เพราะมองปัญหาโดยมุ่งเอา
“ธง” หรือ “วาระของตัวเอง”
เป็นเป้าหมายหลัก และให้คุณค่าเป็นอันดับแรก
โดยเกือบจะเพิกเฉยหรือมองไม่เห็นประเด็นอื่นเลย และคาดหวังว่า
ถ้าจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยจิตสำนึกก็จะต้องทำให้ผู้คนมีจิตสำนึก (เรื่องป่า)
เช่นเดียวกับตน หรือเหมือนกับตน ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดธรรมชาติ
และเป็นไปไม่ได้ที่คนจะคิดเหมือนกันหมด
พอเป็นไปไม่ได้ก็ทำให้คนอย่างศศินรู้สึกว่าเรื่องจิตสำนึกเป็นเรื่องยากเย็น
แม้กระทั่งเป็นเรืองลม ๆ แล้ง ๆ แล้วก็หันไปมุ่งแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” คือการพยายามป้องกันอย่างเข้มงวด และคิดว่านี่แหละคือหนทางที่แท้จริงอันเดียว
และคือการ “แค้นถูกเป้า เฝ้าถูกศาล” แล้ว
ถ้าศศินไม่หลอกตัวเอง
ทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมมาจนหนวดหงอกแล้ว น่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมานั้น
โดยเฉพาะที่ผมยกมา เช่นเรื่องป่า คือการแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” และเป็นการ “รบกับปัญหา”
ไม่จบสิ้นแน่ ๆ เพราะยังไงก็จะต้องมีคนบุกรุกป่าอยู่ตลอดเวลา
(ทั้งคนรวยและคนจน) ไม่ว่าจะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
(ไม่ได้หมายความว่าการแก้ปัญหาปลายเหตุ หรือเฉพาะหน้านี้ไม่สำคัญนะครับ)
แต่หากต้องการแก้ปัญหา “ในระยะยาว” อย่างถาวร คำถามที่ควรจะต้องถามก่อนคืออะไร?
คือคำถามว่าทำยังไงไม่ให้คนรุกป่า?
หรือคำถามว่า ทำไมคนถึงรุกป่า?
และ “คำตอบ” จากคำถามดังกล่าวนี่แหละที่สะท้อน “วุฒิภาวะ”
และ “วิสัยทัศน์” ของการค้นหาคำตอบว่ามีแค่ไหน
ตื้นแคบหรือลึกกว้างอย่างไร
จากคำพูดของศศินในย่อหน้าแรกที่ผมยกมา
บวกกับความเห็นเรื่อง “จิตสำนึก” ของเขา
ทำให้ผมรู้สึกว่าเขามีความคิดที่ตื้นและแคบ
กระทั่งมองไม่เห็นรากของปัญหาที่ตัวเองต่อสู้มายาวนาน
เหตุที่การสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมาเป็นเหมือนเรื่องลม
ๆ แล้ง ๆ มาตลอดนั้น ก็เกิดจากการ “แค้นผิดเป้า
เฝ้าผิดศาล” ของนักอนุรักษ์ที่มีวิธีคิดแบบศศินนั่นแหละ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมา การบุกรุกธรรมชาติ
โดยเฉพาะเรื่องการรุกป่านั้น เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะผู้คนไม่รักป่า ไม่รักสิ่งแวดล้อม
ไม่มีจิตสำนึกในเรื่องการรักษาป่า เป็นประเด็นหลัก อาจจะมีบ้าง
แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักแน่ ๆ
แต่สาเหตุหลักก็คือต่อให้คนมีจิตสำนึกในเรื่องการอนุรักษ์ป่า
เขาก็ไม่สามารถที่จะเห็นว่าการอนุรักษ์ป่าคือ “ปัญหาเร่งด่วนอันดับแรกของชีวิต”
นี่คือสัจธรรมสำหรับมนุษย์ทุกคนไม่เว้นแม้แต่นายศศิน
เฉลิมลาภ หรือแม้แต่สืบ นาคะเสถียร (ขออนุญาตยกตัวอย่างสุดโต่ง เพื่อ “กระแทก” ตรรกะ เช่น
ถ้าสืบเห็นแม่ของตนและเลียงผากำลังจมน้ำอยู่พร้อมกัน
ผมก็เชื่อว่าสืบต้องช่วยแม่ของเขาก่อน แล้วจึงค่อยช่วยเลียงผาทีหลัง)
เคยสังเกตหรือตั้งคำถามไหมว่า
ทำไมกราฟการรุกป่าของประเทศพัฒนาแล้ว เช่นยุโรป
กับประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาอย่างเอเชียหรืออาฟริกาหรืออเมริกาใต้
ถึงมักจะสวนทางกันเสมอ โดยกลุ่มแรกนั้นกราฟมักจะดิ่งลงในขณะที่กลุ่มหลังนั้น
กราฟจะพุ่งขึ้น
คิดว่าที่กราฟออกมาเป็นแบบนี้เป็นเพราะคนยุโรปหรือประเทศพัฒนาแล้วรักป่าหรือมีจิตสำนึกในเรื่องป่ามากกว่าประเทศเอเชีย
อาฟริกา หรือละตินอเมริกา?
สาเหตุที่ประเทศพัฒนาแล้วสามารถป้องกันการทำลายป่าไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา
ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาเก่งกว่า
ไม่ใช่เพราะประชาชนของเขามีจิตสำนึกในเรื่องการรักษาป่ามากกว่า
แต่เป็นเพราะว่าประเทศพัฒนาแล้วเหล่านั้นสามารถที่จะสถาปนา “จิตสำนึกสาธารณะ” ขึ้นได้สำเร็จและลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง
และเหตุที่คนในประเทศพัฒนาแล้วบุกรุกป่าน้อยกว่าก็เพราะว่าป่าไม้คือทรัพยากรของ “ชาติ” และมันเป็น “สาธารณะ”
และเพราะเขารู้ว่า “สาธารณะ” คืออะไร มีความหมายอย่างไร และการ “ล่วงละเมิดสาธารณะ”
คืออะไร ไม่ถูกต้องอย่างไร เพราะคำว่า “สาธารณะ”
นั้น “มีความหมาย” อย่างแท้จริงในชีวิตจริง
ๆ ในโครงสร้างทางการเมืองจริง ๆ จิตสำนึกในเรื่องความเป็นสาธารณะ
จึงสามารถที่จะเกิดขึ้นและจะต้องเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ส่วนประเทศด้อยพัฒนานั้น ไม่เคยมี “จิตสำนึกสาธารณะ” อยู่จริง
เพราะการสร้างจิตสำนึกสาธารณะที่แท้จริง ไม่สามารถทำได้ด้วยการรณรงค์
โฆษณาชวนเชื่อให้คนเชื่อ แล้วปฏิบัติตาม ก็จะเกิดได้ แต่ต้องตั้งอยู่บนฐานของ “โครงสร้างอำนาจ” ที่เป็นอยู่จริง ๆ ด้วย
หมายความว่า “อำนาจสาธารณะ”
ก็ต้องเป็นสาธารณะจริง ๆ ก่อน ตั้งอยู่บนหลักการเรื่อง สิทธิ
เสรีภาพ ความเสมอภาค และ แหล่งอำนาจมาจาก “สาธารณะ” หรือ “ประชาชน” (ในความหมายนามธรรมซึ่งหมายถึงพลเมืองทุกคน
แบ่งแยกไม่ได้) จริง ๆ และการใช้อำนาจอยู่ในกำกับของ “สาธารณะ”
คือมีความโปร่งใสจริง ๆ ก่อน ความหมายของคำว่า “สาธารณะ” มันจึงจะเกิดขึ้น จึงจะศักดิ์สิทธิ์
“สาธารณะ” คือสิ่งที่เป็น “นามธรรม” ที่มีฐานมาจาก “การมารวมกัน”
ซึ่งแบ่งแยกไม่ได้ คนจะมีจิตสำนึกสาธารณะได้
ชีวิตและสำนึกทางการเมืองของเขาจะต้องมารวมกันอยู่ภายใต้หลักการเรื่องสิทธิ
เสรีภาพ ความเสมอภาค อย่างแท้จริงก่อน ไม่ใช่มาอยู่รวมกันเพราะ “ใครบางคน” หรือ “อะไรบางอย่าง”
เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น ใครบางคนนั้น หรืออะไรบางอย่างนั้น
ก็จะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือและทำให้ความหมายของสาธารณะจริง ๆ ผุดเกิดไม่ได้
เพราะ “การเมือง” คือ “อำนาจ” ที่จะมากำหนดหรือกระทบต่อชีวิตของคนทุกคน
ดังนั้น ถ้าการเมืองไม่ตั้งอยู่ในหลักการที่ทำให้คำว่า “สาธารณะ”
มีความหมายจริง คนที่อาศัยหรือต้องอยู่ภายใต้การเมืองนั้น ๆ
ก็จะต้องปรับตัวและไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งที่มีอำนาจและมีจิตสำนึกต่อสิ่งที่มีอำนาจตามที่มันเป็นจริงๆ
(ไม่ใช่ตามที่ใครมารณรงค์ให้เชื่อ)
เพราะ “การดำรงชีวิตตามความเป็นจริงของสภาพแวดล้อม”
เป็น “เรื่องแรก” ของมนุษย์ทุกคน
ไม่เว้นแม้แต่พวกนักอนุรักษ์ผู้สูงส่งทั้งหลาย ดังนั้น
การที่ในประเทศด้อยพัฒนาอย่างไทย “คนจนก็มีข้ออ้างว่าทำเพื่อความยากจน
คนรวยก็เป็นธรรมชาติของเขาที่จะต้องแสวงหาผืนดินสวย ๆ ไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ”
– ไอ้ที่บอกว่า “ธรรมชาติของเขา” น่ะ แท้จริงแล้วไม่ใช่ธรรมชาติของคน แต่เป็นธรรมชาติของ “ชีวิตภายใต้ระบบการเมืองดังกล่าว” ที่
โครงสร้างอำนาจของประเทศที่เป็นอยู่ทำให้หลักการเรื่องความเป็นสาธารณะไม่มีความหมายอย่างแท้จริง
แต่เป็นโครงสร้างอำนาจที่สร้างสำนึกของ “ความเป็นเจ้าของ”
ที่ตรงข้ามกับ “ความเป็นสาธารณะ” เพราะประเทศนี้ มี “ใครบางคน” หรือ
“อะไรบางอย่าง” เป็นเจ้าของ อะไรที่ “มีเจ้าของ” ดูแล ก็จะอยู่ในสภาพที่ดี
(หรือไม่แล้วแต่เจ้าของ) ส่วนไอ้ที่ไม่มีเจ้าของ (สาธารณะ) นั้น ล้วนไม่มีความหมาย
และสามารถที่จะถูก “รุกล้ำ” หรือ “จับจอง” ได้ตลอด
เพราะความสาธารณะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์
ทางเท้าจึงไม่มีความหมายและสามารถเป็นแหล่งผลประโยชน์ ได้
และป่าไม้หรือทรัพยากรอื่น ๆ ก็ย่อมไม่ต่างกัน
นักอนุรักษ์ที่ต้องการฉวยโอกาสเผด็จการผลักดัน “วาระของตน” ให้ได้
เพราะเชื่อว่าภายใต้ระบอบเผด็จการนั้นง่ายกว่าเนื่องจาก “พูดกับคนไม่กี่คน”
ถ้าเห็นด้วยก็คงจะผลักดันได้สำเร็จ
ควรจะรู้ตัวไว้ด้วยว่านั่นคือการยิ่งทำลายหลักการที่จะให้กำเนิด “จิตสำนึกสาธารณะ” และมันคือ “ระบอบอุปถัมภ์”
คนอย่างศศินควรจะรู้ข้อมูลพื้น ๆ ว่า ในประเทศ “ทุนนิยม” ที่พัฒนาแล้วอย่าง ยุโรป และอีกหลายประเทศ
ล้วนแต่มี “อัตราการทำลายป่า” และทรัพยากรธรรมชาติ
น้อยลง สวนทางกับประเทศด้อยพัฒนาในเอเชีย และรวมถึงประเทศไทย
ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ปัญหาการรุกรานทรัพยากรธรรมชาติ การบุกรุกป่า นั้น สาเหตุเป็นเพราะ “ทุนนิยม” (จะสามานย์หรือไม่ก็ตาม) หรือ เป็นเพราะ “โครงสร้างอำนาจ” ที่เอื้ออำนวยระบบอุปถัมภ์
และทำให้คำว่า “สาธารณะ” ไม่มีความหมาย
?
คงต้องขอความกรุณาบุคลากรทางสิ่งแวดล้อมอย่างคุณศศิน
เฉลิมลาภลองตรึกตรองและหาคำตอบดู
30 สิงหาคม 2557
Comments
Post a Comment