สามานย์ สามัญ
สามานย์ สามัญ
เป็นรวมเรื่องสั้นที่มีรสชาติจัดจ้าน
และแสดงเจตนาอย่างกระจ่างชัดที่จะพูดถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่
เนื่องจากสภาวะ 2 ขั้วและปัจจัยอืน ๆ
ทำให้การพูดเรื่องการเมืองมีความเสี่ยงและนักเขียนส่วนใหญ่ก็มักจะ
"เพลย์เซฟ" ด้วยการอำพรางเจตนาและเนื้อสารไว้ภายใต้การอุปมาต่าง ๆ
อุทิศเป็นหนึ่งในนักเขียนไม่กี่คนที่แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านผลงานวรรณกรรม
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมขอแสดงความนับถือและชื่นชม
นอกจากนี้แล้วสิ่งที่ผมชอบมากอีกสิ่งหนึ่งในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ก็คือ
ผู้เขียนกล้าเขียนแบบไม่กลัวเสียฟอร์ม และไม่กลัว "เสียมาด" (นักเขียน)
แต่อย่างใดทั้งสิ้น กล้าที่จะนำภาษาของนิยายวัยรุ่นรุ่นใหม่มาใช้เล่าเรื่อง
กล้าที่จะแสดงน้ำเสียง กล้าที่จะเปิดเผยจริตและตัวตนทางการเมืองในสภาวะอิหลักอิเหลื่อ
แม้ว่าหนังสือจะบอกไว้ชัดเจนที่คำนำ
และตรงชื่อของเรื่องสั้นแต่ละเรื่องว่าต้องการแสดงความหมายแบบ
"เหรียญสองด้าน" ซึ่งเป็นการชี้ชวนให้ผู้อ่าน อ่านแล้วย้อนกลับไปอ่านอีก
เพื่อเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ทั้งที่อยู่ในเรื่องเดียวกันและต่างเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องแรกกับเรื่องสุดท้ายที่ล้อกัน
แต่ลำพังการอ่านธรรมดาแบบไม่ต้องคิดมากก็มองเห็นเนื้อสารค่อนข้างกระจ่าง
เป็นเรื่องสั้นที่อ่านง่ายและอ่านค่อนข้างสนุก
ถึงแม้ผมจะชอบท่าทีของผู้เขียนในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้
แต่ก็เห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องสั้นที่สมบูรณ์แบบหรือยอดเยี่ยม
หากแต่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง คือถ้าผมให้คะแนนเล่มนี้ ก็คงจะให้น้อยกว่า
ออกไปข้างใน (ของนฆ ปักษนาวิน) เนื่องจากเรื่องหลังมีข้อบกพร่องน้อยกว่า
พูดเรื่องที่ลึกกว่า มีทักษะที่ดีกว่า ควบคุมน้ำหนักและสมดุลของเรื่องได้ดีกว่า
ไม่ใช่ว่า "สามานย์ สามัญ" จะเขียนไม่ดี
โดยรวมแล้วอุทิศ เหมะมูลก็ยังเป็นนักเขียนที่มีความสามารถ มีทักษะ
และเล่มนี้ก็ทำได้ในระดับที่น่าสนใจทีเดียว
แต่ข้อบกพร่องที่ชัดเจนที่สุดก็คือ
ระยะห่างของเสียงเล่าและมุมมองไม่มีความสม่ำเสมอและออกจะกระโดกกระเดก
ระยะชัดลึกระหว่างตัวละครกับผู้อ่านไม่นิ่ง ทำให้ตัวเรื่องออกมาดูรวน ๆ
การใช้ภาษาโดยเฉพาะเวลาที่ผู้เขียน "เลียน" หรือ "หยิบยืม"
มาจากท่วงทำนองของวรรณกรรมอื่น ๆ เช่นวรรณกรรมพาฝันสมัยก่อน
หรือวรรณกรรมวัยรุ่นยุคนี้ ยัง "ไม่เนียน"
ซึ่งสังเกตว่าไม่ได้เกิดจากความจงใจ (ที่จะไม่เนียน) แต่เกิดจากความไม่สม่ำเสมอของน้ำเสียงและคำ
ซึ่งเป็นข้อบกพร่องทางทักษะ หรือเทคนิกการใช้ภาษามากกว่าเจตนาสร้างสรรค์
คำนำของหนังสือชี้แจงไว้ว่า
"...สามานย์ สามัญ
รวมเรื่องสั้นลำดับที่สามนี้นับได้ว่าแตกต่างออกไปจากรวมเรื่องสั้นชุดก่อนหน้า
เมื่อมันค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากโลกวนเวียนและสภาวะวกวนของปัจเจกบุคคล...."
ซึ่งผมเห็นว่า "จริง"
และเป็นคำอธิบายว่าทำไมความสุขุม ความนิ่ง ทักษะการบรรยายและจัดวางจังหวะการเล่าที่เป็นเลิศของอุทิศคนที่เขียนนิยายจึงหายไปสิ้นในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้
รวมเรื่องสั้นเล่มนี้เป็นการเปลี่ยนแนว (mode)
ของการเขียน จาก "ปัจเจก" (ตามที่คำนำเรียก)
หรือในที่นี้ผมอยากจะชี้ให้เป็นหลักเป็นการสักหน่อยว่า mode of naturalism ซึ่งมักจะต้องใช้วัตถุดิบภายใน
ประสบการณ์เฉพาะตนของผู้เขียน การสำแดงและเปิดเผยตัวตนเบื้องลึก ไปสู่ mode
ใหม่ที่พูดถึงปรากฏการณ์ภายนอก
และไม่สามารถใช้กระแสสำนึกเป็นตัวจัดวางจังหวะการเล่าเรื่องหรือดำเนินเรื่องได้
ที่ว่ามานี้เป็นทั้ง "จุดอ่อน" และ
สิ่งที่ทำให้ผมชอบงานเล่มนี้
เพราะผู้เขียนกล้าที่จะเขียนแนวที่ตัวเองไม่ถนัด
และเขียนแบบไม่กลัวเสียฟอร์ม ไม่วางมาด ในส่วนของเนื้อหา และเนื้อสารนั้น
ก็มีสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่าผู้เขียน "ผิดพลาด"
หรือมองอะไรบางอย่างคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมไม่ชอบหรือไม่อยากอ่านหนังสือเล่มนี้แต่อย่างใด
เพราะสัมผัสได้ถึงความจริงใจในการสื่อสาร
ทำให้เหมือนกับการคุยกับคนที่อาจจะทัศนะต่างกันบ้างเหมือนกันบ้าง
แต่ไม่มีเล่ห์กลหรืออำพรางความคิดหรือตัวตนอย่างไม่ซื่อตรง
(ซึ่งพบได้บ่อยในท่ามกลางวิกฤตการเมืองแบบ 2 ขั้วที่ดำเนินอยู่)
9-11-14
Comments
Post a Comment