ยาขอบกับครอบครัว
เรื่องสั้น ยาขอบกับครอบครัว
เป็นผลงานเล่มใหม่ของนักเขียนหนุ่มกิตติพล สรัคคานนท์
เรื่องสั้นเรื่องนี้แม้ไม่ได้สั้นมาก แต่ก็มีขนาดไม่ยาวนัก อ่านจบได้สบาย ๆ
ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง สำหรับคนที่อ่านเร็วครึ่งชั่วโมงก็จบ
แต่หากอ่านอย่างละเลียดสักสองชั่วโมงก็ได้รสชาติกำลังดี
โดยรูปลักษณ์ภายนอกหนังสือเล่มเล็ก ๆ นี้ดูไม่บางนัก
แต่ความหนาที่ปรากฏก็ดูจะเป็นเรื่องของการจัดรูปเล่มและการประดับประดา
มากกว่าสิ่งอื่นใด รวมถึงนิยามของคำต่าง ๆ ที่สอดคั่นอยู่ระหว่างจดหมาย
ซึ่งการดำรงอยู่ของมันไม่ได้ตอบสนองเนื้อหาเรื่องราวมากไปกว่ารูปเล่ม
เรื่องราวดำเนินผ่านจดหมายของตัวละคร พ่อ แม่
ปรียา มิตร กิตติ พี่สาว สัตถา
ตัวละครทั้งเจ็ดต่างรุมเวียนกันเขียนจดหมายถึงตัวละครหลักคือยาขอบซึ่งเป็นตัวละครที่
“ไม่มีอะไร” (สำหรับตัวเรื่อง)
เหตุที่ยาขอบ “ไม่มีอะไร”
ก็เพราะหน้าที่หลักของตัวละครนี้คือความเงียบและการไม่ปรากฏตัว
(หรือการไม่สำแดงความดำรงอยู่) แต่คุณลักษณะนี้ก็ไม่ได้หมายถึง “การไม่ดำรงอยู่”
เพราะตัวละครทุกตัวต่างเวียนกันมายืนยันการดำรงอยู่ของยาขอบ ดังนั้น
เมื่อ “ความไม่มีอะไร” ไม่ใช่
“การไม่ดำรงอยู่” การดำรงอยู่ด้วยการสำแดงความไม่ดำรงอยู่ของยาขอบจึงนำไปสู่
“ความไม่มีอะไรที่น่าจะมีอะไร”
สิ่งที่เป็นประเด็นหลักของเรื่องสั้นทั้งที่สื่อออกมาโดยโครงเรื่องและวางอยู่ระหว่างเรื่องก็คือ
“สิ่งที่อธิบายไม่ได้” หรือจะเรียกว่า
“ผี” ก็ได้
“ผี” ในความหมายทั่วไปอันหนึ่งก็คือคนตาย
แต่ไม่ใช่คนตายทุกคนจะกลายเป็นผี คนเมื่อตายแล้วไปไหนไม่รู้
แต่ที่รู้แน่ก็คือคนตายก็หมายถึงไม่อยู่ ไม่มีอยู่แล้ว ไปแล้ว
แต่ผีคือคนตายที่ยังอยู่ ไม่ยอมไป ดังนั้นหากจะพูดให้เวียนหัวก็สามารถกล่าวได้ว่า “ผีคือสิ่งไม่ดำรงอยู่ที่ยังดำรงอยู่”
หรือพูดให้เวียนหัวน้อยลงว่า “ผีคือสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่แล้วแต่ยังดำรงอยู่”
หากเราเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่ออธิบายแล้ว
“สิ่งที่อธิบายไม่ได้” นั้นแท้จริงก็คือความปรกติของชีวิต
และหากคิดแบบไม่วกวนกับภาษาแล้ว “สิ่งที่อธิบายไม่ได้” ทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่
“ดำรงอยู่” มาก่อนมนุษย์
และอันที่จริงมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เดือดร้อนกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้เหล่านี้นัก
มีเพียงคนจำพวกเดียวเท่านั้นที่ทุกข์ทรมานกับการอธิบายไม่ได้อย่างแท้จริงก็คือ
ปัญญาชน
ในหมู่ปัญญาชนที่เป็นทุกข์กับการอธิบายไม่ได้ที่เด่น
ๆ ก็เห็นจะเป็นนักวิทยาศาสตร์กับนักปรัชญา
ซึ่งก็ทุกข์กันไปคนละแบบเพราะอยู่กันคนละโลก และเผชิญกับ “สิ่งที่อธิบายไม่ได้”
ในคนละสภาพแวดล้อม
แม้ว่าสิ่งที่อธิบายไม่ได้นั้นอาจจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นทุกข์กับ
“สมการ” ขณะนักปรัชญานั้นเป็นทุกข์กับ “ภาษา”
ตัวละครยาขอบเป็นนักปรัชญา
ประเด็นของเรื่องสั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของคนที่เป็นทุกข์เพราะ “เผชิญกับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยภาษา”
เพราะคนจำพวกนี้เป็นหมู่ชนที่พยายามสร้างความสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกด้วยการอธิบายผ่านภาษา
แม้แต่ในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ภาษาไม่สามารถรับมือได้ก็ยังคงดึงดันจะพยายามอธิบายด้วยภาษาให้ได้
เมื่ออธิบายไม่ได้ก็พากันเป็นทุกข์ไปตาม ๆ
กันไม่เว้นแม้แต่ผู้เขียนซึ่งก็ได้ร่วมสำแดงความทุกข์ของเขาทั้งโดยตรงและผ่านการอ้างตัวบททั้งโดยโครงเรื่อง
ระหว่างเรื่อง และนามานุกรมชื่อหล่นท้ายเรื่อง
จึงน่าจะเป็นการนำเสนอและท้าทายผู้อ่านโดยความจงใจของผู้เขียนให้ “ความไม่มีอะไรที่น่าจะมีอะไร”
กลับกลายเป็น “ความไม่มีอะไรที่นำไปสู่ความไม่มีอะไรอันทุกข์ทน”
อันที่จริง ประเด็นการเผชิญสิ่งที่อธิบายไม่ได้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวรรณกรรมไทย
แต่เรื่องสั้นของกิตติพลก็กล่าวได้ว่าเป็นประเด็นเดิมในลีลาใหม่ร่วมสมัย
ลักษณะของตัวเรื่องร่วมสมัยแบบนี้คือ แทนที่จะเข้าหา หรือเผชิญหน้ากับตัวประเด็น
(ประสบการณ์) ตรง ๆ ก็เข้าหาผ่านตัวบท (ภาษา) เสียด้วยการอัญเชิญเทพเทวาในอดีตมาประชุมกันในพิธีกรรมทางภาษา
(ในแง่นี้ทำให้เห็นว่านักปรัชญาหรือปัญญาชนไม่มีความแตกต่างจากนักทรงเจ้าเข้าผี)
แม้ภาษาในเรื่องสั้นอาจจะทำให้ใครนึกถึงภาษาเก่าอยู่บ้าง
แต่มันก็คือภาษาเขียนร่วมสมัยปัจจุบันนั่นเอง กลิ่นเก่า ๆ
ที่เกิดขึ้นก็เป็นกลิ่นที่ปรุงขึ้นใหม่
คนอ่านผิวเผินก็อาจประหวัดคิดไปถึงภาษาเก่าได้
เหมือนโฟล์คเต่ารุ่นใหม่นำรูปทรงรุ่นเก่าคลาสสิกมาใช้
แต่มองให้ดีแล้วนี้คือภาษาไทยร่วมสมัยที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเป็นคำ วรรคตอน หรือรูปประโยค เพียงแต่มีการผสมผสานและคัดสรรคำขึ้นตามประสบการณ์การอ่านและรสนิยมของผู้เขียน
เรื่องสั้นเรื่องนี้อ่านสนุก
แต่มันไม่ใช่เรื่องตลกชวนหัว หรือเรื่องพิลึกพิลั่นโศกเศร้าเคล้าหรรษาอย่างแน่นอน
(ตรงกันข้าม
การอ่านด้วยท่าทีที่พยายามจะทำให้เป็นเรื่องตลกกลับเป็นสิ่งน่าขันและเก้อเขินเพราะพยายามกลบเกลื่อนประเด็นที่จริงจังที่สุดของเรื่อง)
ความสนุกของเรื่องนี้อยู่ที่การไขปริศนาของเกมอันทุกข์ทนที่ผู้เขียนชวนผู้อ่านเล่น
(อย่างจริงจัง) และอารมณ์ขันลึก ๆ ที่ต้องรับผ่านการรู้ก่อนจะปล่อยเสียงหึออกมา
พิมพ์ครั้งแรก IMAGE
Comments
Post a Comment