ฉันทลักษณ์ของเนาวรัตน์
อีกสักสเตตัสเกี่ยวกับวรรณกรรมก่อนจะเข้าฌาน
อันนี้เป็นบทความของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เกี่ยวกับเรื่องฉันทลักษณ์ไทย
ตรงเรื่องเสียงและจังหวะนี่ผมเห็นด้วยนะ
(หุ หุ จะไม่เห็นด้วยได้ไง
ก็ไอเดียเรื่องเสียงและจังหวะนี่ผมพูดไว้ที่บอร์ดไทยโพเอ็ทสัก 5-6
ปีก่อนแล้วกระมัง )
บทความชิ้นนี้อ่านดูเผิน ๆ
แล้วก็เหมือนจะไม่มีอะไรขัดแย้ง แต่อ่านดี ๆ
แล้วทัศนะต่อบทกวีโดยภาพรวมนี่ผมเห็นคนละเรื่องคนละทางเลย
เพราะโลกทัศน์ของเนาวรัตน์ถึงอย่างไรก็ยังมีสำนึกแบบจารีตนิยมเป็นสารตั้งต้นอยู่
คือมองว่า บทกวี = ฉันทลักษณ์
เนาวรัตน์เริ่มจากเกริ่นนำเรื่องคน แต่ง-อ่าน
บทกวีไม่เป็น เกรงว่าสุนทรียรสในบทกวีจะหายไปจากใจคน
บอกว่าคนเขียนบทกวีประกวดส่วนใหญ่อ่อนด้อยเรื่องฉันทลักษณ์ “ครั้นฉีกฉันทลักษณ์ไปแต่งแบบ “ลำนำ” ร้อยแก้ว ที่เรียกว่า “กลอนเปล่า” ก็แห้งแล้งแข็งทื่อ ขาด “โวหารกวี”” ยกคำของ พ. ณ ประมวญมารค “บทกวีคือการร่ายรำของภาษา” มากล่าว แล้วก็ “ตีความ” แบบกำปั้นทุบดินว่า บทกวีคือการ “ร่ายรำ” เพราะฉะนั้น (ก่อนรำ) ก็ต้อง “แต่งตัว” ให้ตัวอักษร [ตรงนี้เองที่เป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่า
เนาวรัตน์เห็นว่า บทกวี = ฉันทลักษณ์ – เดี๋ยวจะอธิบายตอนท้าย]
เพราะ (พ. ณ ประมวญมารคบอกว่า)
บทกวีคือการร่ายรำ ฉะนั้นก่อนรำก็ต้องแต่งตัว
และการแต่งตัวนั่นก็คือการฝึกด้วยฉันทลักษณ์นั่นเอง
เสร็จแล้วเนาวรัตน์ก็เข้าเรื่องฉันทลักษณ์ไทยโดยพูดถึงไอเดียเกี่ยวกับเสียงและจังหวะ
เนาวรัตน์ไม่เพียงกล่าวถึงฉันทลักษณ์ไทยว่ามี “เสียงและจังหวะ” เป็นหัวใจ แต่ยังพูดเลยไปถึง “ศิลปะทั้งปวง” อีกด้วย
โดยเฉพาะส่วนที่ไปคลุมเหมาเอาทั้งภาพเขียนไปด้วยว่า “เสียงก็คือโทนสี
จังหวะก็คือองค์ประกอบรูป” ตรงนี้สะท้อนปัญหาสำคัญในวิธีคิดของเนาวรัตน์
ผมไม่อยากเสียเวลามากไม่งั้นบทความจะยาวเกินไป
จึงขอชี้แค่ 2 ประเด็นสำคัญ
ประเด็นแรก เนาวรัตน์พูดถึงฉันทลักษณ์ไทยว่ามี
เสียงและจังหวะ เป็นหัวใจสำคัญ เสร็จแล้วก็กระโดดข้ามชนิดของการรรับรู้ (type of
perception) ไปบอกว่าเสียงและจังหวะเป็นองค์ประกอบและหัวใจของ
จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม นาฏกรรม ฯลฯ กล่าวคือ เนาวรัตน์ไม่เพียงเอาความเข้าใจเรื่องฉันทลักษณ์ไปสวมเข้ากับการเสพศิลปะแขนงอื่นที่ใช้
“หู” ฟังเหมือนกัน ยังกระโดดจากการ “ฟังด้วยหู” ไปสู่การ “ดูด้วยตา”
คือเหมาเอาศิลปะแขนงอื่น ๆ ที่แม้จะต่างชนิดการรับรู้ก็ถูกกำหนดด้วย
“เสียงและจังหวะ” ไปด้วย!?
อันนี้สะท้อนความ “มั่ว” ในเชิงวิธีคิดที่ไม่มีแก่นสารความคิดจริง ๆ
แต่อาศัย “โวหาร” ให้คนอ่านเคลิบเคลิ้มและคล้อยไปด้วยถ้าไม่ฉุกคิด
ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่ใช่แค่เนาวรัตน์คนเดียว
แต่ผมเห็นว่าคนที่มีวิธีคิดแบบจารีตนิยมส่วนใหญ่ก็มักจะมีลักษณะแบบนี้
ประด็นที่สอง จะด้วยความ “มั่ว” ในเชิงวิธีคิด หรือชอบคิดแบบไม่มีกระดูกมีแต่โวหารแบบนี้
หรือเพราะมี “สุนทรียะ” เป็นแบบแผนแบบจารีตนิยม
(จึงทำให้คิดแบบนี้)
เนาวรัตน์จึงมองเห็นบทกวีเป็นเพียงแต่แพทเทิร์นของเสียงและจังหวะที่จะต้องมีรูปแบบ
“คงที่” ตลอดชิ้น
(ในฉันทลักษณ์ประเภทเดียวกัน) แบบฉันทลักษณ์ไทย คือต้องเป็นเสียงและจังหวะที่เป็นแบบแผนวนอยู่ในรูปแบบเดียวกันไปเรื่อย
ๆ เท่านั้น ไม่สามารถเป็นเสียงและจังหวะที่ไม่มีแบบแผน คาดเดาไม่ได้ (improvise)
จึงทำให้เนาวรัตน์ “อ่านกลอนเปล่าไม่เป็น”
โดยเฉพาะกลอนเปล่าที่ไม่ได้ใช้เสียงและจังหวะในลักษณะที่แบ่งเป็นบท
ๆ แล้วก็มีแพทเทิร์นของเสียงและจังหวะวนกันมาทุกบททุกบท แบบฉันทลักษณ์ไทย
และที่สำคัญคือ
เนาวรัตน์ไม่เข้าใจว่าบทกวีสมัยใหม่มี type of perception ที่หลากหลาย
คือไม่ได้แค่ใช้แต่ “หู” ฟังเท่านั้น
ยังประกอบไปด้วยการใช้ “ตา” ดูอีกด้วย
ทั้งนี้เนื่องจากวัฒนธรรม “การอ่าน” และ
“การเขียน” วรรณกรรมที่เข้ามาแทนที่วัฒนธรรม
“การขับ” และ “การฟัง”
ที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว ทำให้มีการปรับตัว-ผสมผสาน ทั้งการ “อ่านออกเสียง”, “อ่านในใจ” และใช้ตาดู
เกิดขึ้นในพื้นที่ของกวีนิพนธ์สมัยใหม่
ดังนั้น บทกวี
สำหรับเนาวรัตน์ก็จึงมีเพียงฉันทลักษณ์ไทย
และเนาวัตรน์ก็อ่านเป็นแต่บทกวีฉันทลักษณ์ที่มีเสียงและจังหวะเป็นองค์ประกอบสำคัญ
และต้องเป็นเสียงและจังหวะที่มีแบบแผนด้วย
(ถ้าเป็นเสียงและจังหวะที่คาดเดาไม่ได้ไม่เป็นระเบียบแบบแผนเนาวรัตน์ก็เสพไม่เป็นแล้ว)
ตรงนี้เนาวรัตน์เปิดช่องไว้ว่า “รู้เรื่องเสียง เรื่องจังหวะ
หัดแต่งจน “อยู่มือ” แล้วก็สามารถพลิกแพลงไปได้ดังใจ”
ดูคล้ายว่าจะยอมรับรูปแบบของเสียงและจังหวะที่ไม่เป็นแบบแผน
แต่ถ้าดูตอนท้าย ๆ โดยเฉพาะตรงที่แน้นว่า ฉันทลักษณ์คือรูปแบบ (ซึ่งก็ไม่ผิด
แต่ใช้ไม่ได้กับกวีนิพนธ์สมัยใหม่) และยกรูปแบบโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
ขึ้นมาเป็นรูปแบบมาตรฐาน ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าเนารัตน์ไม่เข้าใจบทกวีสมัยใหม่
ที่ไม่จำเป็นต้องมีแพทเทิร์นของเสียงหรือสัมผัส เช่นบทกวีก่อนสมัยใหม่
(ไม่ว่าจะของไทยหรือต่างประเทศ) ที่เรียกว่า free verse หรือของไทยที่มักเรียกว่ากลอนเปล่า
ว่ามันไม่ใช่การจัดตั้งรูปแบบหรือแพทเทิร์นของเสียงและจังหวะขึ้นมาชุดหนึ่ง
แล้วก็ขับวนไปจนจบเป็นบท ๆ แบบการขับหรืออ่านบทกวีก่อนสมัยใหม่
ผมไม่ปฏิเสธว่า คนเขียนบทกวีรุ่นใหม่ส่วนใหญ่
ให้ความสำคัญกับ “เสียง” น้อยลง
และมีความเข้าใจองค์ประกอบสำคัญของฉันทลักษณ์ไทยน้อยลง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
ความสามารถในการ สร้าง-สื่อ-รับ สุนทรียรสของบทกวีจะด้อยลงหรือน้อยลงกว่าเดิม
เพราะบทกวีไม่ได้เท่ากับฉันทลักษณ์
พอดีเลยว่ามติชนเล่มเดียวกันนี้มีบทกวีของ
"จารี จันทราภา" อยู่ถัดจากคอลัมน์ของเนาวรัตน์ไปไม่กี่หน้า
ที่แสดงให้เห็นถึงการเล่นกับเสียงที่ "ล่องลอย" อยู่ในสังคม เช่น
เพลงร็อค, คำประกาศ หรือคำพูดที่เห็นบ่อย ๆ ในสื่อ
นำมาร้อยเรียงสลับกับเสียงของผู้ประพันธ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นอัตวิสัย
คือเสียงและจังหวะในกลอนเปล่าร่วมสมัยส่วนใหญ่จะมีลักษณะไม่มีแบบแผน เป็นอัตวิสัย
คนอ่านเดาไม่ได้ทั้งหมดว่าเวลากวีอ่านออกเสียงจะอ่านอย่างไร ดังนั้นเวลาอ่าน
(ในใจ) คนอ่านก็มักจะอ่านไปตามรูปแบบของการจัดคำผสมกับอัตวิสัยของผู้อ่านเอง
แต่ชิ้นนี้จารี กำกับเสียงเป็นช่วง ๆ ด้วยการใช้วรรคตอนของเพลงที่คนส่วนใหญ่รู้จัก
ส่งเสียงให้เห็นจังหวะและเสียงในใจของกวี บทกวีชิ้นนี้มีการใช้เสียงและจังหวะแน่ ๆ
แต่ไม่ได้เป็นไปอย่างมีแบบแผนวนมาเป็นบท ๆ แบบฉันทลักษณ์
27-11-2015
Comments
Post a Comment