ชะตากรรมของฟาราเมียร์
ค ว า ม เ ศ ร้ า ข อ ง ส ง ค ร า ม
เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
เสียงกัดผลองุ่นของเดเนธอร์ก้องสะท้อนไปทั้งโถงของเสนาบดี
มันเป็นเสียงสะท้อนที่เหว่ว้าและขมขื่น ก่อนที่เพลงของปิ๊ปปิ้นจะกังวาลขึ้น
ตามด้วยเสียงฝีเท้าม้าของฟาราเมียร์ และเหล่าอัศวินที่ถูกส่งไปหาความตาย...
หลายคนอาจจะเคยแหงนหน้าตะโกนถามฟ้าว่าสงครามคืออะไร
มนุษย์สามารถดำรงอยู่โดยปราศจากมันได้หรือไม่
สำหรับโลกปัจจุบัน สงครามคืออะไร
มนุษย์สมัยนี้มองเห็นอะไรในสงคราม และเข้าหามันด้วยท่าทีเช่นไร
ไม่ว่าอะไรจะเป็นคำตอบของคำถามนี้ มันย่อมไม่ใช่คำถามในยุคของนักรบ
และยิ่งไม่ใช่คำถามของนักรบใน The
Lord of the Rings
ในโลกที่ไม่ปฏิเสธสงคราม
คำถามซึ่งแม้แต่เผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่ชาตินักรบเช่นฮอบบิทก็ยังไม่เคยเอ่ย
สงครามถูกยอมรับ และไร้ข้อกังขาต่อการมีอยู่ของมัน มนุษย์ยอมรับ
และจำนนต่อการดำรงอยู่นั้น เหมือนกับเขาจำนนต่อเหว
เป็นการจำนนที่มิได้นำไปสู่ความพ่ายแพ้
หากแต่นำไปสู่ศักดิ์ศรี ความหมาย และความเศร้า
ฟ้า พูลวรลักษณ์เคยเขียนไว้ว่า
เมื่อเราเจอกับเหว สิ่งที่กระทำได้ก็มีเพียงยอมรับมันด้วยการกระโดดลงไป
หรือไม่ก็หันหลังกลับ
เมื่อมนุษย์เผชิญกับสิ่งซึ่งเขาไม่อาจทำอะไรได้เช่นเหว
ผู้ที่ไม่ยอมถอยจึงจำต้องก้าวไปสู่การร่วงหล่น
เพื่อที่เขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ญาณทัศนะโบราณเช่นนี้หากนำมากล่าวกับมนุษย์ปัจจุบันกลับเป็นสิ่งที่ยากจะสื่อสาร
ผู้คนคงคิดถึงการสร้างสะพานข้ามเหว มากกว่าจะกระโดดลงไป
มนุษย์ปัจจุบันเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขาจำนน เขาสามารถเอาชนะทุกอย่างได้ด้วยความรู้และเทคโนโลยี
พวกเขาไม่รู้จักเหว
เราเรียกตัวว่าผู้เจริญ
กำหนดกติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ สร้างหลักการต่าง ๆ
ขึ้นมากมายเพื่อปฏิเสธสงคราม แต่สงครามก็ยังมีอยู่
มันยังคงเกิดขึ้นโดยไม่สนใจว่าเราจะยอมรับมันหรือไม่
ในโลกของมิดเดิ้ลเอิธ
ฮอบบิทคือเผ่าพันธุ์ที่รักความสงบสำราญ ชิงชังความลำบาก
แต่ในที่สุดก็มีฮอบบิทสี่คนเข้าร่วมในสงครามแหวน
และการเข้าร่วมของพวกเขาได้นำไปสู่สิ่งที่ทรงความหมายที่สุดใน The Return of the King ภาคจบของ
The Lord of the Rings
ไม่ใช่ความอลังการของฉากรบ หากแต่เป็นความเศร้า
ความเศร้าบนแววตาเลื่อนลอยของเธโอเดนในแสงเช้าก่อนเขาจะตวัดกายขึ้นหลังม้า
ความเศร้าในเสียงฝีเท้าม้าโกลาหลก่อนจะเคลื่อนทัพ
ความเศร้าในควันไฟอ้อยอิ่งจากซากปรักหักพัง ความเศร้าในเสียงตะโกนก้องของแม่ทัพบนสันเนิน
และเสียงขานรับของเหล่านักรบ และความเศร้าในเสียงเพลงของฮอบบิท
การรบไม่ใช่การตาย
และมนุษย์ต้องจำนนต่อบางสิ่งเพื่อจะไม่พ่ายแพ้
เมื่อแม่ทัพยื่นดาบสัมผัสปลายทวนของเหล่าอัศวิน
เสียงตะโกนของเขาทั้งปลุกเร้ากำลังใจ และตอกย้ำถึงความหมาย
จากนั้นทั้งแม่ทัพและอัศวินก็ควบม้าเข้าสู่สมรภูมิ
อ า ร า ม ข อ ง นั ก ร บ
ก่อนออกรบแม่ทัพคนหนึ่งถามเธโอเดนผู้เป็นกษัตริย์และจอมทัพของเขาว่า
เราจะรบไปทำไมในเมื่อรู้ว่าแพ้
กองทัพมหึมาของเซารอนยกเข้าปิดล้อมมินาสทิริธเมืองหลวงของกอนดอร์
กอนดอร์ส่งไฟสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังโรฮัน กษัตริย์โรฮันรวบรวมไพร่พล
เคลื่อนทัพสู่ทุ่งเพเลนนอร์เพื่อรวมกำลังกับกอนดอร์พิชิตเซารอน
กองทัพของโรฮันเล็กกว่าเซารอนหลายเท่า
แม้เมื่อรวมกำลังกับกอนดอร์แล้วก็ยังยากจะทานทัพพันธมิตรทั้งหมดของเซารอน
แม่ทัพถามกษัตริย์ของเขาว่า เมื่อรู้ว่าแพ้เรายังจะรบไปอีกทำไม เธโอเดนตอบว่า
"เราจะรบ แม้จะต้องแพ้"
เช้ามืด ทหารโรฮันเลิกแคมป์
เสียงกลบฟืนเคล้าคลอกับควันไฟที่อ้อยอิ่งในแดดอ่อน เสียงกีบม้าโกลาหล
และเหล่าทหารแกว่งสัมภาระขึ้นหลังม้า เคลื่อนทัพมุ่งสู่กอนดอร์
มุ่งสู่สมรภูมิที่เขาไม่มีโอกาสชนะ
เธโอเดนเหม่อมองฟ้า ดวงตาของเขาฉายแววเศร้า
ทว่ามิใช่ซึมโศกรันทด มิใช่ขมขื่นฝืนใจ หากแต่เป็นความเศร้าลึกซึ้ง
เป็นความเศร้าจากการจำนนต่อวิถีที่ต้องเป็นไป เป็นความเศร้าที่เข้าถึงความหมาย
เป็นความเศร้าของนักรบ เศร้าเพราะตระหนักรู้
รู้ว่านี่คือสงครามชี้ชะตา หากไม่รบตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้รบ
ถ้าหลบหนีก็ต้องพ่ายแพ้ไปชั่วชีวิต
ในโลกเช่นนี้กำลังใจและการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ในโลกของนักรบ สมรภูมิไม่ใช่โอกาสสำหรับการแก้ตัว สู้หรือไม่ก็แพ้ตลอดกาล
ซ า ก ศ พ ข อ ง ค ว า ม ห ม า ย
เมื่อด่านออสกิลเลียธถูกตีแตก
ฟาราเมียร์พาทหารถอยสู่มินาสทิริธ เมื่อเขาพบเดเนธอร์ เจ้าเมืองผู้เป็นพ่อกำลังเสียใจกับความตายของโบโรเมียร์, พี่ชายของฟาราเมียร์, พ่อสั่งให้ฟาราเมียร์กลับไปยังออสกิลเลียธ
ฟาราเมียร์กล่าวกับพ่อว่า นั่นเท่ากับส่งให้เขาไปตาย
พ่อต้องการให้เขาตายแทนที่จะเป็นโบโรเมียร์ใช่ไหม เดเนธอร์ตอบว่า ใช่
ฟาราเมียร์ก้มหน้าเดินจากโถงของเสนาบดี
ขึ้นม้าพาเหล่าอัศวินย่างเหยาะสู่ประตูเมือง ชาวเมืองยืนซึม
พวกเขาโรยกลีบดอกไม้ไว้บนทาง หญิงสาวและเด็กยื่นดอกไม้ให้เหล่าอัศวิน
ชายหนุ่มหันหน้าหลบไม่อาจทนมองเหล่านักรบที่ถูกส่งไปตาย กลีบดอกไม้หมองเศร้า
หนทางทอดยาวสู่เงาร้าย
ฟาราเมียร์นำทหารสู่ทุ่งเพเลนนอร์อันเวิ้งว้าง
เมฆดำทะมึนปกคลุมอยู่เบื้องหน้า เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
เสียงกัดผลองุ่นของเดเนธอร์ก้องสะท้อนไปทั้งโถงของเสนาบดี
ก่อนที่เพลงของปิ๊บปิ้นจะกังวานขึ้น เสียงเพลงนั้นราวจะเห่กล่อมฟาราเมียร์ ฝีเท้าม้าเหยาะย่างแผ่วเบา ทัพอัศวินจำนวนหยิบมือเคลื่อนไปในทุ่งเพเลนนอร์
ดวงตาของฟาราเมียร์เหม่อลอย แม้แต่ม้าก็ยังวิ่งไปอย่างหงอยเหงา
เมื่อถึงออสกิลเลียธ ฟาราเมียร์ตะโกนกร้าว
ทะยานม้าพุ่งเข้าหาห่าธนู เหล่าอัศวินควบม้าตามแม่ทัพของเขา
เสียงเพลงของปิ๊บปิ้นวรรคสุดท้ายสิ้นสุดลงที่โถงของเสนาบดี พ่อมดขาวมิธรันเดียร์นั่งซึมอยู่ในแสงอัศดง
ทอดอาลัยให้แก่ผู้ถูกทำลายในสงคราม
ค ว า ม ต า ย ข อ ง ศั ก ดิ์ ศ รี
ความเศร้าของฟาราเมียร์แตกต่างจากความเศร้าของเธโอเดน
แม้ว่าทั้งสองมุ่งสู่สมรภูมิที่ตัวเองรู้ว่าจะแพ้
แต่การออกรบของเธโอเดนเปี่ยมความหมาย เขาจึงรบด้วยศักดิ์ศรี
ทว่าฟาราเมียร์ออกรบอย่างว่างเปล่า ไร้ความหมาย เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ออกรบด้วยคำสั่งที่ไร้เหตุผลของผู้เป็นพ่อ ความเศร้าของฟาราเมียร์ชวนขมขื่น
ชวนให้ทอดหายใจออกมากกว่าสูดหายใจเข้า
ในโลกที่มนุษย์จำนนต่อความเป็นไป
ความหมายเป็นสิ่งสูงค่า การกระทำที่ไร้เหตุผลก็สามารถทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับลงไปได้
เคยมีคนพูดว่าผู้ที่จะสะเทือนใจกับสงครามที่สุดก็คือผู้ออกรบ
บางทีสงครามมีหรือไม่มีก็ยังไม่สำคัญต่อมนุษย์เท่ากับความหมายที่เขาต้องแบกออกไปรบ
ในโลกที่ศักดิ์ศรียังสูงค่า
ความหมายไม่คลอนแคลน นักรบไม่เคยถูกทำลาย
คื อ ค ว า ม สู ญ เ สี ย ข อ ง ส ง ค ร า ม
สงครามในปัจจุบันกลับเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
ไม่ใช่เพราะมนุษย์ยังคงทำสงคราม ไม่ใช่เพราะเราสูญเสียสันติภาพ
แต่สงครามสูญเสียความหมายของมันไปให้กับหลักการในขณะที่มนุษย์ปฏิเสธเหว
ในโลกที่ศักดิ์ศรีเป็นสิ่งล้าหลัง
สงครามที่ทำลายนักรบอย่างสงครามเวียดนามปรากฏมากขึ้นทุกขณะ
หาใช่เสียงโห่ร้องหลังเอาชัยสำเร็จ
หากเป็นซากศพที่มิอาจหมิ่นเกียรติ
ศักดิ์ศรีล้าหลัง ความหมายเลื่อนลอย
เมื่อโลกไม่ยอมรับและปฏิเสธสงคราม สงครามก็ไม่อาจเป็นสงคราม นักรบไม่อาจเป็นนักรบ
ปัจจุบันนี้มีนักรบกี่คนที่ประสบชะตากรรมเช่นฟาราเมียร์
พิมพ์ครั้งแรก เนชั่นสุดสัปดาห์ มกราคม 2547
Comments
Post a Comment