วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐวิบัติ
แดนเศรษฐศาสตร์ได้กลายเป็นดินแดนที่มีภูมิประเทศวกวนและสลับซับซ้อน
จนกระทั่งคนที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์
หรือถึงนักเศรษฐศาสตร์เองก็ยังหลงทางและไม่สามารถทำความเข้าใจกับดินแดนแห่งนี้ได้ทั้งหมด
แม้แต่นักคิดคนสำคัญอย่างนอม ชอมสกี้
ก็ยังเคยกล่าวไว้เมื่อครั้งที่เศรษฐกิจวิบัติโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันนี้ปะทุขึ้นเป็นครั้งแรกทำนองว่า
ระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกในเวลานี้คงมีแต่เพียงนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ไม่กี่คนในโลกที่จะเข้าใจมันได้
ทว่าระบบที่มีคนเพียงไม่กี่คนจะเข้าใจได้นี้คือระบบหลักหรือ
‘ห้องเครื่อง’ ซึ่งทำให้โลกปัจจุบันหมุนไป
กล่าวอีกแบบว่าสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนี้คือสิ่งที่มีผลกับชีวิตของเราในทุกระดับ
หรือแม้แต่อาจจะบงการและกำกับชีวิตของเราในแต่ละวัน
(ปัจจุบันมีใครสักกี่คนไม่ต้องไปธนาคารหรือไม่มีเงินฝากในธนาคาร)
เอาเข้าจริงลำพังเพียงแค่การต้องใช้ ‘เงิน’ เป็นเครื่องดำรงชีวิตก็กล่าวได้ว่าถูกพัวพันโดยระบบแล้ว
เช่นนั้นเราจะไม่แสวงหาความเข้าใจฟ้าฝนความกดอากาศสูงต่ำมวลความหนาวร้อนที่เคลื่อนปะทะกันไปมาจนกระทั่งเกิดพายุเศรษฐกิจวิบัติซึ่งกำลังกระหน่ำเราอยู่ในภูมิประเทศแห่งนี้กันสักหน่อยหรือ
ช่วงปีที่ผ่านมามีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจออกมาไม่น้อย
แต่มีอยู่สองเล่มที่จี้ไปตรงประเด็นเศรษฐกิจวิบัติตรง ๆ
ไม่อ้อมค้อมหรือวนเวียนอยู่กับน้ำเดิม ๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนถ่ายประเภท “เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจฉันจะทำอย่างไร” หรือ “วิกฤตคือโอกาส (ฉันจะฉกฉวยจากความฉิบหายได้อย่างไร)” หรือ...ฯลฯ
เล่มแรกคือ วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
ประกอบด้วยข้อเขียนสามชิ้นของ กอบศักดิ์ ภูตระกูล, สฤณี
อาชวานันทกุล และปกป้อง จันวิทย์ ในที่นี้จะยกมากล่าวเฉพาะข้อเขียนของสฤณี
นักการเงินรุ่นใหม่ที่มีผลงานเขียนจำนวนไม่น้อยแล้ว เพราะเป็นข้อเขียนที่ว่ากันที่ปัญหาตรง
ๆ แบบเลกเชอร์บนกระดานดำทีเดียว
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ซับไพรม์” คุ้นหูอยู่บ่อย ๆ
คำนี้เรียกเป็นภาษาไทยได้ง่าย ๆ ว่า “หนี้ชั้นสอง” ซับไพรม์
หรือวิกฤตซับไพรม์คือจำเลยตัวสำคัญในวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังดำเนินอยู่นี้
แต่มันคืออะไร?
สฤณีแจกแจงไว้อย่างละเอียดและเข้าใจง่ายพอสมควร
วิกฤตซับไพรม์ (subprime) คือการที่ตลาดทุนที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์นั้นเกิดพังลงมา
วิกฤตนี้เกิดขึ้นที่อเมริกา พูดกันง่าย ๆ ภาษาชาวบ้านก็คือ
ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของอเมริกาแตก แต่ฟองสบู่นี้คืออะไร และมันแตกได้อย่างไร
ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์
หรือที่จะเรียกตรงนี้ว่าฟองสบู่บ้านนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยกระบวนการ “แปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์” ปรกติเวลาเราซื้อบ้านซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูง
คนส่วนใหญ่ก็จะต้องกู้แบงก์เพราะไม่สามารถซื้อเงินสด หรือแม้แต่ในกรณีที่มีเงินสดเพียงพอก็ยังยินดีที่จะกู้แบงก์มากกว่าเพื่อเก็บเงินสดไว้สำหรับการทำธุรกิจหรือทำกิจกรรมอื่น
ๆ
เนื่องจากดอกเบี้ยซื้อบ้านนั้นถูกกว่าดอกเบี้ยเพื่อธุรกิจหรือเพื่อการบริโภคประเภทอื่น
ในการกู้ยืมนี้แบงก์ก็จะยึดบ้านของเราไว้ หรือที่เรียกว่าการจำนอง จนกว่าเราจะทยอยจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยจนหมด
ความเป็นเจ้าของบ้านจึงจะกลับคืนมาสู่เรา
ถ้ากระบวนการซื้อบ้านจบลงแค่นี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน และไม่มีฟองสบู่ แต่..
เมื่อมีเครื่องมือทางการเงินอย่าง “การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์” ธนาคารก็เกิดขี้เกียจรอเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจากลูกหนี้เป็นยี่สิบสามสิบปี
ก็เลยจัดการแปลงสินเชื่อบ้านนี้ให้เป็นหลักทรัพย์แล้วก็ขายเสียเพื่อจะได้เงินในทันที
ซึ่งก็ทำให้เกิดตลาดทุนตัวใหม่ขึ้นซึ่งมีสินเชื่อบ้านเป็นหลักทรัพย์และให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ
ปรากฏว่าตลาดนี้บูมมากและบูมอย่างต่อเนื่อง บรรดากองทุนใหญ่ ๆ
ของโลกจึงพากันมาลงทุนกันเป็นการใหญ่ เมื่อมีการลงทุนก็มีความเสี่ยง
คราวนี้บริษัทประกันก็เลยมาขอมีส่วนร่วมในตลาดที่รุ่งโรจน์นี้ด้วยโดยการขายประกันความเสี่ยงของหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อนี้ค้ำประกัน
และเนื่องจากตลาดบูมมาก
และสินเชื่อก็ให้ผลตอบแทนที่สูง เพราะราคาบ้านมีแต่ขึ้นกับขึ้น
กระบวนเอาสินเชื่อมาเป็นหลักทรัพย์นี้จึงไม่ได้ทำกันชั้นเดียว
แต่มีการจัดอันดับหลักทรัพย์ เป็นเอเอเอ บีบีบี อะไรต่อมิอะไร
แล้วก็เอาหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อค้ำประกันมาค้ำประกันหลักทรัพย์อีกที
และก็เอาหลักทรัพย์ที่มีหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อค้ำประกันมาค้ำประกันหลักทรัพย์อีก
เป็นทริปเปิลเลยทีเดียว
ฟองสบู่ขยายกลายเป็นบอลลูนยักษ์ขนาด 50 ล้านล้านดอลล่าสหรัฐ หรือ 62
ล้านเท่าของฐานเงินของธนาคารกลางสหรัฐ โดยอลัน
กรีนสแปนประธานธนาคารกลางของสหรัฐบอก (ก่อนลงจากตำแหน่ง) ว่าฟองสบู่นี้ไม่มีอะไรน่าวิตก
ขณะที่ทั้งกองทุนทั้งธนาคารทั่วโลกต่างก็มาลงทุนกันในตลาดนี้กันอย่างสนุกสนาน
แม้แต่ธนาคารในอเมริกาที่แปลงสินเชื่อของตัวเองขายเป็นหลักทรัพย์ไปแล้วก็ยังย้อนกลับมาลงทุนในหลักทรัพย์นี้อีกที
พอล ครุกแมน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
แชร์ลูกโซ่
พอล ครุกแมนคือนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล
ผู้เขียนหนังสืออีกเล่มที่ผมจะแนะนำ หนังสือเล่มนี้ชื่อ เศรษฐวิบัติ แปลโดย
ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์
เป็นหนังสือที่พูดถึงเรื่องยากได้สนุกและเพลิดเพลินจนน่าประหลาด
ฟองสบู่แตกได้อย่างไร
(ทำไมมันไม่พองไปเรื่อย ๆ?) ครุกแมนเรียกฟองสบู่นี้ว่าแชร์ลูกโซ่
เพื่อหมายความว่ามันจะพังทันทีที่หาคนใหม่มาเล่นด้วยไม่ได้
การที่ตลาดนี้บูมก็เพราะราคาบ้านขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าราคาบ้านยังขึ้นไปเรื่อย ๆ
ก็จะไม่มีใครขาดทุน (ถ้าหาคนใหม่ได้เรื่อย ๆ แชร์ลูกโซ่ก็ยังอยู่ได้)
แต่ด้วยสาเหตุใดสักอย่างราคาบ้านก็ไม่ขึ้นอีกต่อไป และเมื่อมันตกลง สิ่งที่ค่อย ๆ
เกิดขึ้นก็คือ หนี้เสีย
ถ้าปีที่แล้วคุณซื้อบ้านมา 3,000,000 ผ่อนจนถึงปีนี้ยังเหลือเงินต้นเป็นหนี้แบงก์อยู่ 2,900,000 แต่ราคาบ้านตกลงมาเหลือ 2,600,000
ถามว่าคุณยังจะผ่อนต่ออีกไหม (ทิ้งบ้านหลังนี้ไปซื้อหลังใหม่ก็ยังเสียตังค์น้อยกว่า)
พอหนี้เสียคนก็เริ่มพากันแห่ถอนเงินออกจากตลาดทุนนี้
และนี่คือจุดเริ่มต้นของความวิบัติ กระนั้น..
ทำไมวิกฤตซับไพรม์จึงได้ส่งผลกระทบระเนระนาดจนกระทั่งเกือบจะทำให้ระบบการเงินของทั้งโลกแทบจะพังครืนลงมา
ผมไม่สามารถจะเล่าต่อได้อีกแล้วแต่ผู้อ่านควรไปหาอ่านหนังสือของครุกแมนด้วยตนเองเพื่อรู้ว่า
“ระบบธนาคารเงา” “ตาข่ายกันภัย” และ “สหกรณ์เลี้ยงเด็ก” คืออะไร
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร และทำไม “กระบวนการแห่ถอนเงิน”
จึงก่อให้เกิดความพินาศขึ้นมาได้
พิมพ์ครั้งแรก IMAGE
Comments
Post a Comment