ชู้เป็นของผู้ชาย กิ๊กเป็นของผู้หญิง
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายผู้หญิงในสังคมเป็นสิ่งซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
กิ๊กเป็นสถานะที่บ่งบอกความสัมพันธ์แบบใหม่ของผู้ชายและผู้หญิง
น่าสงสัยว่าความสัมพันธ์ที่เรียกว่ากิ๊กนี้ดำรงอยู่ในสังคมก่อนที่จะมีคำว่า
"กิ๊ก" หรือไม่
ในสังคมเมืองที่มนุษย์มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย
ผู้คนต้องใช้ชีวิตในหลากหลายพื้นที่ เริ่มต้นจากที่บ้าน คนต้องอยู่ร่วมกับครอบครัว
เมื่อออกจากบ้านไปที่ทำงานก็เข้าไปสู่อีกสังคม นอกจากนั้น กีฬา งานอดิเรก
ความสนใจอื่น ๆ รวมถึงพื้นที่สมมุติอย่างชุมชนบนคลื่นวิทยุ จ.ส.100
หรือชุมชนออนไลน์ต่าง ๆ ในไซเบอร์สเปซล้วนเป็นสิ่งที่นำผู้คนไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ
มากมาย
ตัวตนของมนุษย์นั้น
สัมพันธ์อยู่กับพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่ออยู่ในพื้นที่หนึ่งสภาพแวดล้อมในพื้นที่นั้น ๆ
ย่อมมีส่วนในการเปิดเผยตัวตนของคนในแบบหนึ่ง ๆ
คนเมื่อออกจากบ้านอาจเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อไปอยู่ที่ทำงาน
และก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกเมื่อไปอยู่ในสนามกอล์ฟ
และก็อาจเปลี่ยนไปอีกเมื่อไปสู่พื้นที่อื่น ๆ
พื้นที่และกิจกรรมที่หลากหลายในเมืองจึงมีส่วนอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้คน
ๆ หนึ่งมีตัวตนมากกว่าหนึ่ง
ความสัมพันธ์ชู้สาวของชายหญิงในสำนักงานเป็นเรื่องปรกติธรรมดาในสังคมเมือง
เนื่องจากตัวตนที่หลากหลายของผู้คนทำให้ความรักหรือครอบครัวยากที่จะตอบสนองตัวตนทั้งหมดของคน
ๆ หนึ่ง
การแสวงหาความพึงพอใจของตัวตนที่เพิ่มขึ้นจึงนำไปสู่ความสัมพันธ์ชู้สาวในพื้นที่อื่น
ๆ สภาพนี้เองที่ความสัมพันธ์ชายหญิงแบบใหม่
ๆ ที่คำนิยามเก่า ๆ อย่างคำว่า "ชู้" ไม่อาจอธิบาย คำว่า "กิ๊ก" จึงถือกำเนิดขึ้น
ชู้
เป็นสถานะที่บ่งบอกความสัมพันธ์ของชายหญิงในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่
การจะเรียกความสัมพันธ์ใดว่าชู้นั้น สังคมมักจะใช้ผู้หญิงเป็นตัวตั้ง กล่าวคือ
ถ้าผู้หญิงมีสามี (เจ้าของ) อยู่แล้ว และไปมีความสัมพันธ์อื่น
สังคมก็จะบอกว่ามีชู้ (ขณะที่ถ้าเป็นผู้ชาย สังคมจะเรียกว่ามีเมียน้อย
มีบ้านเล็กบ้านน้อย มีเด็ก หรืออะไรทำนองนี้) ดังนั้น ชู้
จึงสะท้อนถึงความเป็นใหญ่ของผู้ชายและผู้หญิงเป็นวัตถุที่ถูกครอบครอง
แต่คำว่า กิ๊ก กลับให้ภาพที่แตกต่างออกไป
ข้อสังเกตหนึ่งคือ
คำว่ากิ๊กนั้นสะท้อนลักษณะที่ผู้ชายเป็นตัวเลือกของผู้หญิงมากกว่าที่ผู้หญิงจะไปเป็นตัวเลือกของผู้ชาย
และคำว่ากิ๊กก็ใช้เรียกผู้ชายมากกว่าจะเรียกผู้หญิง
(ก่อนหน้านี้ผู้ชายมักจะเรียกผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ว่า เด็ก "เด็กกู"
"เด็กผม" อะไรอย่างนี้)
กิ๊กอธิบายตัวเองว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศเป็นพื้นฐาน
เนื่องจากกิ๊กรวมเอากิจกรรมอื่น ๆ (ที่ตอบสนองตัวตน) อันไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ
และการที่ความสัมพันธ์ทางเพศจะเกิดขึ้นไปถึงระดับไหน (ตั้งแต่จับมือจนถึงมีเซ็ก)
ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายหญิงเป็นผู้กำหนด
ดังนั้นกิ๊กจึงเป็นวาทกรรมของผู้หญิงโดยแท้
เป็นสถานะที่นำเอาระดับของความสัมพันธ์ทางเพศมาเป็นเครื่องต่อรองกับผู้ชาย (เช่น
ถ้าฝ่ายชายทำให้ฝ่ายหญิงพึงพอใจ จากยอมให้จับมืออาจจะขยับมายอมให้โอบไหล่)
ซึ่งนอกจากผู้หญิงจะต่อรองอำนาจกับชายที่เป็นคู่กิ๊กของตนแล้ว
ผู้หญิงยังอาจจะใช้กิ๊กเป็นเครื่องต่อรองกับคนรัก (ตัวจริง) ของเธอด้วย
เนื่องจากตัวตนที่หลากหลายขึ้นทำให้แม้แต่ความรักก็ไม่สามารถสนองตัวตนทั้งหมดได้
ฉะนั้น เมื่อผู้หญิงไม่สามารถเรียกร้องทุกสิ่งที่เธอต้องการได้จากผู้ชายคนเดียว
เธอจึงเลือกที่จะไปแสวงหาเอาจากการมีกิ๊ก
และใช้กิ๊กเป็นเครื่องต่อรองความต้องการของเธอ ทั้งจากชายที่เป็นคนรัก
และเป็นกิ๊ก ข้อสังเกตที่สอง
การใช้กิ๊กในการต่อรองนี้ จำเป็นที่ผู้หญิงจะต้องมีแฟนหรือคนรักอยู่แล้ว
ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้สถานะของ แฟน หรือ คนรัก เข้ามาจำกัดอำนาจของผู้ชายที่จะเป็นกิ๊กไม่ให้มาครอบครอง
หรือมีอำนาจเหนือเธอได้ ("ฉันมีแฟนอยู่แล้วนะ"
"เธอเป็นแค่กิ๊ก" "เธอไม่ใช่เจ้าของฉัน")
ขณะเดียวกันเธอก็ยังสามารถเอาสถานะของกิ๊กไปต่อรองกับผู้ที่ชายที่มีอำนาจเหนือเธอหรือครอบครองเธออยู่
("ถ้าเธอมีชู้ฉันจะมีกิ๊กนะ") หรืออย่างน้อยก็ใช้เป็นเครื่องชดเชยความบกพร่องของแฟนหรือคนรัก
กิ๊กจึงเป็นสถานะที่เข้ากับความเป็นผู้หญิงไทยหรือผู้หญิงตะวันออกอย่างยิ่ง
เนื่องจากในความสัมพันธ์ที่เรียกว่ากิ๊ก แม้จะมีความสัมพันธ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยว
แต่ก็ถูกอำพรางอยู่อย่างแนบเนียนด้วยกิจกรรมอื่น
และในสังคมไทยที่ผู้หญิงถูกบังคับให้ไม่สามารถแสดงออกในเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้งนี้
กิ๊กจึงเป็นสถานะที่สร้างขึ้นโดยผู้หญิงไทย
เพื่อเธอจะสามารถสลัดตัวเองออกจากการกดขี่ของคำว่า "ชู้" และใช้คำว่า
"กิ๊ก" ขึ้นมาต่อรองกับผู้ชาย
เมื่อเขามีชู้ เธอจึงมีกิ๊ก เพื่อต่อรองอำนาจจากเขา
เพราะนี่คือโลกของเธอ โลกที่ผู้ชายไม่ใช่จ้าวโลกอีกต่อไป
พิมพ์ครั้งแรก อิมเมจ กรกฎาคม 2547
Comments
Post a Comment