ไม่ขอรับเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น 95 ปี 4 เดือน 9 วัน
หนังสือ ไม่ขอรับเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น 95 ปี 4 เดือน 9 วัน
เป็นเรื่องราวชีวิตของพูนศุข พนมยงค์ ประกอบไปด้วย 4 ส่วน ส่วนแรกเป็นภาพถ่าย
จัดหมวดหมู่ตามรอบนักษัตรได้ 8 รอบ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งละสังขาร ส่วนที่ 2
เป็นข้อเขียนและบันทึกที่พูนศุขเขียนไว้ในวาระต่าง ๆ จัดลำดับตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ส่วนที่ 3
รวบรวมบทสัมภาษณ์ สุนทรพจน์ และสารที่เธอได้กล่าวไว้ตามโอกาสต่าง ๆ ส่วนทุดท้ายเป็นจดหมายจากปรีดี
พนมยงค์เขียนถึงเธอ
คำว่า “ไม่ขอรับเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น” ของชื่อหนังสือมาจากข้อหนึ่งในพินัยกรรมของพูนศุข
ส่วน “95 ปี 4 เดือน 9 วัน” นั้นก็คืออายุของเธอจนถึงวันสิ้นอายุขัย
(12 พฤษภาคม 2550) นั่นเอง
พูนศุข พนมยงค์เป็นภรรยาของ ปรีดี พนมยงค์
หนึ่งในผู้นำคณะราษฎรผู้อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
และเป็นผู้ที่กล่าวกันว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎร เป็นผู้ร่างรายละเอียดทางกฎหมายและวิธีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
และเขียนเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง)
ให้กับคณะรัฐบาลจนถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ต้องออกไปพำนักอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส
กระทั่งสามเดือนถัดมาจึงได้รับการเรียกตัวให้กลับมาร่วมบริหารประเทศ
ปรีดี พนมยงค์เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
มีส่วนในเหตุการณ์สำคัญของประเทศ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นรัฐบุรุษและผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่
8 ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 เป็นรัฐบุรุษอาวุโส
เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของประเทศไทย
ถูกรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 จนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ พยามยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลเผด็จการทหารในวันที่
26 กุมภาพันธ์ 2492 (กรณีกบฏวังหลวง) แต่ประสบความล้มเหลว
ลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนราว 21 ปี ก่อนจะย้ายไปพำนักที่ฝรั่งเศสจนถึงแก่กรรมที่นั่น ชีวิตของปรีดีเป็นชีวิตของนักการเมืองที่มีความผันผวนสูง
และต้องระหกระเหินหลายครั้งหลายครา
พัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองจนเป็นอันตรายแก่ชีวิต
ชีวิตของพูนศุขเป็นชีวิตของภรรยาที่ผูกพันกับสามี
จึงต้องประสบกับมรสุมชีวิตดังที่พระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ได้กล่าวไว้ใน ‘ลิขิตชีวิต
ลิขิตประสบการณ์’ ว่า
“ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
มิใช่เป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่มีชื่อผ่านเข้ามาในประวัติศาสตร์
ในฐานะภริยาของท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เท่านั้น แต่ชีวิตของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
เป็นประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งด้วยทีเดียว อย่างน้อยในกระแสแห่งความผันผวนปรวนแปรของเหตุการณ์บ้านเมือง
ที่ชีวิตของท่านผู้หญิงพูนศุข
ถูกกระทบกระแทกอย่างหนักหน่วงรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดช่วงเวลายาวนาน
ท่านผู้หญิง รู้เห็น รู้สึก มองสถานการณ์และเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างไร
รวมทั้งนำชีวิตและบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะครอบครัวลุล่วงผ่านพ้นมาได้อย่างไร
ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาอย่างมาก”
พูนศุข พนมยงค์เกิดเมื่อปี 2455
ในครอบครัวเสนาบดีในรัชกาลที่ 6 ชื่อ “พูนศุข”
นี้ได้รับพระราชทานนามจาก สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่ออายุราว 6 ขวบครอบครัวย้ายจากสมุทรปราการเข้ามากรุงเทพมาหานคร
เข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ คอนแวนต์ เรียนจนถึงชั้น standard 7
จึงแต่งงานกับปรีดี พนมยงค์ ในปี 2471
มีส่วนช่วยสามีในการดำเนินกิจการโรงพิมพ์ นิติสาส์น
จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงการปกครองนายปรีดีจึงยกโรงพิมพ์นี้ให้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
หลังจากแต่งงานกับปรีดีเธอสมัครเรียนภาษาฝรั่งเศสที่สมาคมฝรั่งเศสร่วมชั้นเรียนกับ
จำกัด พลางกูร และ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นต้น
ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต่อมาได้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองทั้งสิ้น
โดยเฉพาะในขบวนการเสรีไทย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
พูนศุขเป็นหนึ่งในเสรีไทย
มีบทบาทหน้าที่หลายอย่างในการช่วยงานปรีดีซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการ
ซึ่งเธอก็ได้เล่าช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานระหว่างสงครามโลกไว้หลายบทหลายตอนในหนังสือเล่มนี้
เช่น “อยู่มาวันหนึ่ง นายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ก็มาเซ็นชื่อเยี่ยมที่ทำเนียบของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ
แล้วก็เดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่พวกเสรีไทยใช้เป็นที่ทำงาน
โตโจคงอยากเห็นส่วนที่เราอยู่หมด น่ากลัวเหมือนกัน
แต่โชคดีที่พวกญี่ปุ่นคงไม่ระแคะระคาย ส่วนฉันตอนนั้นก็ช่วยทำทุกอย่าง
ช่วยนายปรีดีฟังข่าวติดตามสถานการณ์ต่างประเทศจากวิทยุ...”
เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพูนศุขที่เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองอีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือวันที่ทหารนำรถถังยิงเข้าใส่ทำเนียบท่าช้างซึ่งบันทึกไว้ในข้อเขียน
‘รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490’
“พลันได้ยินเสียงปืนกลจากรถถังยิงรัวใส่ตัวตึก
ข้าพเจ้าไม่มีเวลาถามต่อไปว่า ‘ท่านไปไหน? ไปกับใคร?’
รีบกลับไปห้องนอนของลูก ๆ ที่ชั้น 3 เรียกลูก ๆ
มารวมกันในห้องนอนทิศเหนือด้านริมน้ำ เผอิญวันนั้น พรพงา (ซูซาน) สิงหเสนี
มาค้างที่บ้านด้วย เธอเป็นบุตรสาวของหลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี)
เพื่อนร่วมก่อการ 2475 ของนายปรีดี
“ ‘อย่ายิง! ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก’ ข้าพเจ้าตะโกนร้องสวนเสียงปืนกล”
และสองปีหลังจากนั้น เมื่อปรีดี
พนมยงค์พยายามยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลทหารแต่ประสบความล้มเหลวในกรณีกบฏวังหลวง
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492
พูนศุขก็ได้กลายมาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางแผนช่วยนายปรีดีซึ่งกำลังถูกตามล่าหลบหนีออกนอกประเทศ
“...ตอนกลับจากเยี่ยมนายปรีดีที่บ้านสวนฉางเกลือ
คุณอุดรนั่งเรือจ้างมาส่งข้าพเจ้าที่ท่าเรือสาทร ใกล้ฟ้าสาง
รถรางบนถนนสีลมออกเดินรถแล้ว ผู้คนเริ่มออกมาทำกิจวัตรประจำวันแต่เช้ามืด ข้าพเจ้าเดินจากบางรักผ่านป่าช้ากวางตุ้ง
ป่าช้าสารสิน ป่าช้าซาเวียร์และป่าช้าคาทอลิก เพียงคนเดียว กลับมาถึงบ้านป้อมเพชร์
(ปัจจุบันได้ถูกเวนคืนเป็นช่วงหนึ่งของถนนนราธิวาสราชนครินทร์ และอาคาร I.T.F.)
ก่อนที่คนในบ้านจะตื่น”
และในช่วงวิกฤตสำคัญถึงชีวิตที่ปรีดีต้องระเหเร่ร่อนเพื่อหลบซ่อนนี้เองที่พูนศุขในฐานะภรรยาได้อยู่ในมุมมองที่เห็นนายปรีดีในมุมที่คนนอกไม่เคยได้เห็น
ซึ่งเธอเล่าไว้ในรายการ นี่แหละชีวิต ของ เสถียรธรรมสถาน ว่า “เข้ามาทำขบวนการประชาธิปไตย
26 กุมภา ประสบความล้มเหลว ผู้คนที่ร่วมด้วย บางคนก็ไม่ได้ร่วมด้วย เขาเอาไปฆ่ากันตั้งหลายคน
พอนายปรีดีทราบข่าวก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ เพราะทำให้เพื่อนฝูงต้องเสียชีวิตไป
ก็อยากจะตาย ไม่อยากจะอยู่ ฉันก็ห้าม บอกว่า อย่านะเธอ การตายคือความพ่ายแพ้
ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เตือนสติไว้ครั้งสุดท้ายที่พบกัน ก่อนจะจากกันไปอีก 5 ปี”
หลังจากกรณีกบฏวังหลวงซึ่งปรีดี
พนมยงค์ทำการไม่สำเร็จต้องหลบหนีไปยังประเทศจีน
ส่งผลให้ปรีดีและพูนศุขต้องพลัดพรากกันถึง 5 ปี
และในระหว่าง 5
ปีที่จากกันไปอย่างไม่รู้ว่าจะได้เห็นหน้ากันอีกหรือไม่นี้เอง มรสุมอีกลูกก็โหมพัดเข้าใส่ชีวิตเมื่อเธอและ
ปาล พนมยงค์ ลูกชายถูกจับในกรณี “กบฏสันติภาพ” ซึ่งภาพข่าวหนังสือพิมพ์ที่เธอถูกคุมตัวไปขังก็คือภาพที่ใช้เป็นภาพปกหนังสือเล่มนี้
จะเห็นได้ว่าเธอเดินเชิดหน้าอย่างทระนงขณะถูกกุมตัว
กล่าวได้ว่า ส่วนหนึ่งของชีวิตพูนศุข
พนมยงค์คือประวัติศาสตร์ชาติไทย และส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยคือชีวิตของเธอ
เป็นสองสิ่งที่แยกกันไม่ออก โดยที่เธอก็ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่
หรือบทบาททางการเมืองโดยตรง
นอกจากเรื่องราวชีวิตผันผวนอันพัวพันกับการเมืองแล้ว ยังมีข้อเขียนอื่น ๆ
ที่บอกเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเมืองไทยในอดีต เช่น วัฒนธรรมสงกรานต์แต่เดิมที่เรียกตรุษสงกรานต์
และเนื่องจากพำนักอยู่ถนนสีลมตั้งแต่เด็กดังที่เธอกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวสีลมเต็มตัวในช่วง
พ.ศ. 2465 – พ.ศ. 2485
หรืออีกนัยหนึ่ง อยู่ถนนสายนี้มาตั้งแต่ 11 ขวบจนถึงอายุ 30 ปี
และอีกช่วงหนึ่งจาก พ.ศ. 2490 – พ.ศ. 2496” จึงมีข้อเขียนที่เล่าความถึงถนนสีลมแต่หนหลัง
และมีแทรกแผนที่ถนนสีลมในอดีตบอกตำแหน่งบ้านบุคคลต่าง ๆ
บนถนนสีลมในอดีตครั้งยังเป็นคลองและมีรถรางวิ่ง
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นด้วยภาษาเรียบง่าย
ทุกถ้อยความมีความหมายชัดเจน
บางข้อเขียนเป็นบันทึกที่พูนศุขเขียนเล่าให้ลูกหลานในครอบครัวรู้ถึงความเป็นมาของบรรพบุรุษ
ด้วยเสียงเล่าดังกล่าวจึงทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่น
เหมือนนั่งฟังญาติผู้ใหญ่บอกเล่าความหลัง
เรื่องราวความเป็นไปของบ้านเมืองในอดีตจึงไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์ที่หนักอึ้งและชวนง่วงนอน
หากแต่เป็นเรื่องเล่าอันเข้มข้นและเป็นอดีตที่มีชีวิต
พิมพ์ครั้งแรก วารสารหนังสือใต้ดิน
Comments
Post a Comment