30 วัน เปิดโลกหนังสือ
‘ขึ้นชื่อว่าหนังสือก็ต้องเป็นกระดาษ’
อาจไม่ใช่คำกล่าวที่ใช้ได้ทั่วไปในอนาคต
เมื่อหนังสือพิมพ์อังกฤษต่างกำลังปรับตัวกันอยู่ในช่วงเวลาสำคัญซึ่งเป็นรอยต่อของอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์
“ผมมาอังกฤษรอบที่แล้วได้เห็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของหนังสือพิมพ์เก่าแก่ที่อยู่มายาวนานของอังกฤษ
นั่นคือการเปลี่ยนขนาดจากบลอดชีทมาเป็นแท็บลอยด์
หนังสือพิมพ์สำหรับปัญญาชนที่เรียกกันว่าซีเรียสเปเปอร์พากันปรับเปลี่ยนขนาดกันถ้วนหน้า
แม้หนังสือพิมพ์ที่ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนขนาดอย่าง เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ (The
Daily Telegraph) ก็ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ท้าทายกว่านั่นคือการเกิดและเติบโตของโลกออนไลน์ที่ทำให้จำนวนคนอ่านหนังสือพิมพ์มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง”
ข้างต้นเป็นบางส่วนของการกล่าวนำเพื่อเล่าเรื่องหนังสือพิมพ์ของเมืองอังกฤษในหนังสือ
30 วัน ฉบับ ‘เปิดโลกหนังสือ’ ซึ่งมีคำอธิบายบนปกว่า
‘ประวัติศาสตร์ย่นย่อและความท้าทายใหม่ของวงการสิ่งพิมพ์อังกฤษ’
หนังสือ 30 วัน
เป็นหนังสือชุดต่อเนื่องของภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เป็นเสมือนบันทึกการเดินทางของผู้เขียน
ซึ่งก็ได้เดินทางเป็นระยะ
ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศ
โดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษก็มีเหตุให้ผู้เขียนต้องเดินทางไปหลายครั้ง
ทั้งเป็นการเดินทางท่องเที่ยวส่วนตัว และไปร่วมผ่านโครงการต่าง ๆ
ซึ่งโครงการหนึ่งก็คือ โครงการผู้พิมพ์รุ่นใหม่ของบริติชเคาน์ซิล เมื่อปี
2548
เป็นโครงการที่ทำให้ภิญโญได้พบกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ที่เขาจะได้ใช้ในการเล่าเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้ หนังสือ 30 วัน อันเป็นลำดับที่ 3 นี้
จึงมีความพิเศษกว่า 30 วันเล่มก่อน ๆ ที่ว่าด้วยการเดินทางชมวัฒนธรรมและแทรกเรื่องธุรกิจ
มาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะ
30 วัน ฉบับ เปิดโลกหนังสือ แบ่งเป็น 6
ส่วนหลัก ๆ คือ โลกแบน โลกร้อน โลกกลม หรือโลกเอียง, ส่วนผสมแห่งความเนิบช้า,
ประวัติศาสตร์ย่นย่อของอุตสาหกรรมหนังสืออังกฤษ, สงครามกระดาษยุคดิจิตอล, หนังสือพิมพ์ราคาถูก
เสรีภาพราคาแพง, คนขายหนังสือแห่งลอนดอน และ
เมืองรั้วที่ริมน้ำกับสามสิบร้านหนังสือ
เริ่มต้นในสองบทแรกด้วยท่วงทำนองแบบร่ายนิราศชมเมือง
ชมนกชมไม้ ชมภูมิอากาศอาหารการกิน ขนมนมเนยไปเรื่อย พร้อมกับสอดแทรกทัศนคติ
และหัวข้อพูดคุยที่อยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนทั่วโลกในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกร้อน
หรือเรื่องการเมือง รวม ๆ
แล้วออกไปในทางรำพึงรำพันอย่างมีความสุขท่ามกลางฉากภาพและปรัชญาชีวิตที่มุ่งแสวงหาความสงบสุข
เรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมหนังสือเริ่มต้นตั้งแต่บทที่สามเป็นต้นไป
ภิญโญเริ่มจากการบอกเล่าเท้าความถึงครั้งที่มาร่วมโครงการของบริติช เคาน์ซิล
จากนั้นจึงเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสิ่งพิมพ์อังกฤษสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
ซึ่งก็ให้ภาพและข้อมูลความรู้เกี่ยวกับแวดวงสิ่งพิมพ์ของอังกฤษโดยสังเขป
หลายเรื่องราวก็มีความน่าสนใจ และพ้องพานกับปรากฏการณ์ในบ้านเรา
และเนื่องจากผู้เขียนเองก็เป็นนักเขียนและผู้ประกอบการสิ่งพิมพ์คนหนึ่ง
จึงตั้งข้อสังเกตเป็นระยะไว้อย่างน่ารับฟัง
“แม้แต่ในอังกฤษเองที่มีชมรมกวีที่เข้มแข็ง
มีวารสารตีพิมพ์บทกวีโดยเฉพาะ รวมทั้งฝังศพกวีไว้ใกล้ ๆ กับกษัตริย์และรัฐบุรุษ
ยอดจำหน่ายจริง ๆ ของบทกวีก็ยังอยู่แถว ๆ ไม่กี่ร้อยเล่ม
นักเขียนคนไหนได้พิมพ์เริ่มต้นที่ 1,000 เล่มก็นับว่าหรูมากแล้ว”
บทต่อมา ‘สงครามกระดาษในยุคดิจิตอล’
ว่าด้วยเรื่องราวการต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของหนังสือพิมพ์อังกฤษ
ที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาปรับตัวครั้งสำคัญ
ผู้เขียนมองว่าเป็นช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านจากสื่อกระดาษไปสู่สื่อดิจิตอล
พร้อมกับตั้งข้อสังเกต
และบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ซึ่งบางฉบับก็อยู่มาเป็นร้อยปีแล้ว นอกจากนี้อีกปรากฏการณ์หนึ่งก็คือหนังสือพิมพ์แจกฟรีที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด
ระหว่าง The London Paper กับ London Lite เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเช่นกันว่าตลาดหนังสือพิมพ์แจกฟรีในบ้านเราจะลงเอยในลักษณะเดียวกับที่อังกฤษหรือไม่
ปิดท้ายบทด้วยเรื่องราวของไทคูนสื่อชาวออสเตรเลียอย่างรูเพิร์ต เมอร์ด็อค
ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการสื่อที่ทรงอิทธิพลของโลกจำนวนมาก
ทั้งสิ่งพิมพ์และสถานีโทรทัศน์
‘หนังสือพิมพ์ราคาถูก เสรีภาพราคาแพง’
กล่าวถึงความเป็นมาของการต่อสู้ของวัฒนธรรมหนังสือ
ซึ่งก็เป็นสิ่งเดียวกับสิทธิเสรีภาพในความรู้ของผู้คนส่วนใหญ่
เปรียบเทียบกับความเป็นมาของตลาดหนังสืออังกฤษ
ซึ่งพัฒนาจากร้านหนังสือเช่ามาก่อนที่จะมีระบบร้านหนังสือขายดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จบจากเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นไปในวงการสิ่งพิมพ์
ทั้งหนังสือเล่มและหนังสือพิมพ์ ในสองบทท้ายผู้เขียนพาผู้อ่านเที่ยวชมร้านหนังสือ
โดย บท ‘คนขายหนังสือแห่งลอนดอน’ ภิญโญออกซอกซอนไปตามถนนหนทางในกรุงลอนดอนเพื่อแนะนำร้านหนังสืออิสระ
ซึ่งแต่ละแห่งก็มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ
จากนั้นจึงกล่าวถึงร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่คนรู้จักกันดีอย่าง
วอร์เตอร์สโตนส์ และค่อย ๆ
ฉายภาพสถานการณ์โดยรวมของธุรกิจร้านหนังสือในประเทศอังกฤษ ซึ่งร้านหนังสืออิสระกำลังตกที่นั่งลำบากเนื่องจากสงครามราคาระหว่างร้านหนังสือเครือข่ายกับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ลงมาเล่นตลาดหนังสือด้วย
บทสุดท้าย กล่าวถึงเมือง เฮย์ ออน ไวย์
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณพรมแดนอังกฤษกับเวลส์ ความพิเศษของเมืองนี้คือเป็นเมืองเล็ก ๆ
ที่เต็มไปด้วยร้านหนังสือ และมีเทศกาลหนังสือทุกฤดูร้อน
สามารถเดินทางจากลอนดอนได้โดยรถไฟ คนรักหนังสือที่ได้อ่านบทนี้แล้ว
หากมีโอกาสได้ไปอังกฤษก็จะรู้สึกว่าเมืองนี้เป็นสถานที่หนึ่งที่ต้องไม่พลาด
เป็นบทปิดท้ายการเดินทางด้วยเรื่องราวของสิ่งละอันพันละน้อย
และเสน่ห์ของความสงบสุข เรียบง่าย ในเมืองเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยหนังสือ
30 วันเป็นหนังสือที่อ่านง่าย
ใช้ภาษาเล่าเรื่องเรียบ ๆ แต่มีจังหวะจะโคน แต่ละบทก็มีการรับส่งต่อเนื่องกันไป
แม้ผู้ที่ไม่ได้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์เป็นพิเศษก็ยังสามารถสนุกไปกับรายละเอียดของการเดินทางผ่านเข้าไปในวัฒนธรรมต่างแดนที่ผู้เขียนบอกเล่าเป็นระยะอย่างมีสีสัน นอกจากนี้ก็ยังมีภาพประกอบและคำบรรยายที่ช่วยให้การอ่านเป็นไปอย่างเพลิดเพลินยิ่งขึ้น
เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่นอนอ่านอยู่กับบ้านก็ได้ พกพาระหว่างเดินทางก็ดี
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร IMAGE
Comments
Post a Comment