พยุง ตระวันร้องไห้ เขียนบอกลา 'รงค์ วงษ์สวรรค์
(อนุญาตให้ข้าพเจ้าขโมยเวลาเจ็ดนาฑี)
แจ้ง ใบต้อง : เขาไม่รู้เหมือนกันทำไมวันนี้จึงเศร้านัก น้ำค้างที่หล่นอยู่ตามยอดหญ้ามองเหมือนน้ำตานับหมื่นนับแสนหยด ลมที่พัดเสียดสีกอไผ่ท้ายบ้านฟังวังเวง ท้องฟ้าครึ้ม และหัวใจของเขาปวดร้าว แจ้งเร่งถามใจตน เขามีบ้าน เขามีกล้วยอยู่ในไร่ เขามีเกวียน เขามีพระธรรมคำสอนที่ยึดถือ เขามีเหล้ากินมิขาด และเพียงแต่ผิวปากเขาก็จะได้ยินดนตรีหลากหลายทำนอง เขามีเพื่อนพ้อง เขามีเกือบจะทั้งนั้น ไก่อยู่ในเล้า ปลาในหนอง พริกและกะเพราในสวนหลังบ้าน ข้าวสารและเกลือ ปลาเนื้ออ่อนย่างอีกหลายแผงแขวนไว้เหนือเตาไฟ จะเอามายำกินเมื่อไรก็อร่อยเมื่อนั้น แล้วทำไมวันนี้จึงเศร้านัก
แซน แฟรนซิสโก : มาทำไม?
มันชวนให้พิศวงอยู่เหมือนกัน ’รงค์ วงษ์สวรรค์ นักเขียนผู้ยากจนและหลายคนไม่รู้ว่ามันเป็นใคร คนอัปรีย์พันธุ์นั้นจะเข้าใจอย่างไร...ช่างมัน ข้าพเจ้าออกจากกรุงเทพฯด้วยความเจ็บปวดที่ไม่มีเสียงร้องไห้ ไม่อายจะร้องแต่เพราะมันไม่มีน้ำตา มันทรมานเนิ่นนานอย่างไม่มียาชนิดใดบำบัด อาการนั้นคงวินิจฉัยได้ว่าคงเนื่องจาก อะไร บางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในความคิด หนีชีวิตกระนั้นหรือ? เปล่า-หามิได้ ชีวิตเป็นเจ้าหนี้อำมหิตที่สุด และข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าใครจะหนีมันพ้น!
และในอารมณ์ดิบ ข้าพเจ้ามองเห็น ’รงค์ วงษ์สวรรค์คนที่สอง ไอ้คนนั้นมันสอนให้หยอกล้อกับธรรมจริยา มันถีบข้าพเจ้าหล่นลงในขุมอบายแห่งความเริงใจ มันเอื้อมมือผลักใบหน้าข้าพเจ้าให้เบือนจนมองไม่เห็นบาป มันเสี้ยมสอนให้ละเมิดต่อพระธรรมบท มันยั่วให้ละโมบในกามคุณและเมรัย มันแย่งความดีที่พอจะมีอยู่บ้างไปซ่อนในที่หาไม่พบ
ถ้าจะเปรยเปรียบว่าชีวิตเป็นผลึกเหลี่ยม เอาตีนเขี่ยพลิกดูด้านไหนก็คงจะกรากกร้านเหมือนกัน-ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเพียงตัวละครชนิดไม่มีสาระในนิยายที่ยังเขียนไม่จบเท่านั้น และความสะเพร่ามันเป็นผู้เขียน แน่ละ-ถึงอย่างไรความเป็นปุถุชนก็สอนให้รู้จักจะปัดความผิดเท่ากับอยากรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ในสมัยที่ผู้คนคดโกงกันแม้กระทั่งความชั่วและดี และมักมากในกามคุณกันอย่างหมดยางอาย
ความยิ่งยงและเปล่าเปลี่ยว ขุมนรกของนักเขียน
จาก เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ ตามสำนวนเปลื้องความของ เชน จรัสเวียง “นักเขียนที่ยังไม่ตายนั้นไม่มีตัวตน ชื่อเสียงของนักเขียนเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยนักวิจารณ์ที่ต้องการอัจฉริยะประจำฤดู นักเขียนคนไหนสักคนที่พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้และรู้สึกปลอดภัยที่จะสดุดี แต่เมื่ออัจฉริยะชั่วคราวเหล่านี้ตายไปพวกเขาก็จะไม่มีตัวตนอีกเหมือนกัน” เชน จรัสเวียงผู้ซึ่งอีกใบหน้าคือนักเขียนที่บ้าคลั่งและเคยประกาศยอมตายถวายชีวิตให้กับการเขียนหนังสือ ส่วนเฮมิงเวย์, นักเขียนผู้ประกอบอัตวินิบาตกรรมหลังจากความมั่นใจในการเขียนหนังสือของตนหล่นหาย’รงค์ วงษ์สวรรค์ เคยกล่าวไว้ว่า “มีความดึงดันและท้าทายโชคชะตาอย่างบ้าบิ่นอยู่ตลอดชีวิต ไม่พรั่นพรึงอุปสรรคไม่ว่าในวงพนัน บนสังเวียน บนความรักใคร่ ในป่า หรือในเมือง และเขาจะยกย่องว่ามันเป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมควรจะรับมือกับมันเสมอ อาวุธสามชนิดของเขาคือ หิริโอตตัปปะ สามัญสำนึก และสุขภาพอันแข็งแกร่ง เขาเชื่ออย่างนั้น เขาเพียรหาคำตอบของชีวิตตลอดมา เคยมีและเคยอด เคยแพ้และเคยชนะ เคยพบและเคยพรัดพราก แต่ไม่เคยจะเหน็ดหน่ายหรือแหยงชีวิต เป็นคนพรรค์ที่เชื่อว่าชีวิตคือความทรหด เท่ากับเชื่อว่าเขาจะเดินไปถึงปลายทางเสมอ”
ในคำนำหนังสือ ใต้ถุนป่าคอนกรีท พิมพ์ครั้งแรกปี 2511 ’รงค์ วงษ์สวรรค์ขูดคารมของทรูแมน คาโพทปรารภถึงความรู้สึกเป็นคนแปลกหน้ากับหนังสือที่เขาเขียนออกมาเอง หวาดกลัวและไม่อาจหยิบมาอ่านซ้ำได้ “เป็นทั้งเด็กผู้หลงอยู่บนทางเปลี่ยว และเป็นทั้งชายชราผู้มีลมหายใจซึ่งปราศจากชีวิต” ทรูแมนทิ้งความไว้เช่นนั้น “แต่ข้าพเจ้าเป็นชายผู้ไขว่แขนอยู่ในปลักของความขลาดและเขลา เป็นเพียงนักเขียนผู้ซึ่งผลักตัวเองหล่นลงในกระแสเชี่ยวของอดีตและปัจจุบัน” ’รงค์ วงษ์สวรรค์ต่อความ
ณ 1008 ถนนลาร์กิน อพาร์ทเมนท์ 105 แซน แฟรนซิสโก ระหว่างนั่งเหงาอยู่ริมหน้าต่าง ในบางเย็นของฤดูร้อน พลันเผิน ข้าวโพดก็เดินแบกเสียมเหยียบย่างเข้าในมโนนึก จากนั้นจึงก้าวเดินขึ้นสู่แป้นพิมพ์ดีด ’รงค์จึงได้สำเร็จบทแรกนาม โทโสชาวไร่ ในเย็นนั้น
“และ- ข้าพเจ้าไม่เจ็บปวดกับสถานการณ์ในป่าคอนกรีท ความเจ็บปวดของข้าพเจ้าเนื่องจากอะไรก็ตาม คงไม่มากกว่าความเจ็บปวดของแจ้ง ใบตอง เฉ่ มะเขือพวง ทอง มะขามอ่อนและผองเพื่อนชาวไร่ชาวนาของเขา หน้าที่ของคนเขียนหนังสือบางด้านคือนำความเจ็บปวดนั้นมาสร้างเป็นบทละครหรือนวนิยาย และข้าพเจ้าใช้ความพยายามเท่าที่มีความสามารถ บนพื้นฐานของเมตตาธรรม และบางขณะ-หัสการธรรม-คำนี้ไม่มีในคัมภีร์”
ฤดูหนาว ปลายปี 2549 คนหนุ่มถาม ’รงค์ วงษ์สวรรค์อีกครั้งที่สวนทูนอิน “ทำไมถึงไปอเมริกา” เขาตอบว่า “ชีวิตกับความรัก ความวังเวงในการค้นหาตัวเอง และหนึ่งในความบังเอิญเกี่ยวกับการอ่าน”
(หมดเวลาเจ็ดนาฑี)
แจ้งใบตองไม่แจ้งนัก เพื่อนพ้องจึงต่างพากันตกอยู่ในความสงสัยเดียวกันนั้น จนเมานอนกลิ้งเกลือกอยู่บนชานเรือน ตกดึก แจ้งรู้สึกตัว ตื่นขึ้นกระหายน้ำ เขาลุกขึ้นกินน้ำในขันลงหิน แล้วจุดใต้เดินลงบันไดไปแต่ผู้เดียว มองเห็นใบแห้งห้อยเทิบอยู่ตามต้นกล้วย บ้างแกว่งตามลมพัด เขาจึงเอาใต้นั้นแหย่ให้มันลุกฮือขึ้น มันลามจากต้นนั้นไปสู่ต้นโน้นรวดเร็ว ไม่นานกล้วยทั้งไร่ก็ตกอยู่ในกองเพลิงพิโรธ แจ้งยืนหัวเราะสนั่น
ครั้นรุ่งเช้า ให้บังเกิดความเสียดายพืชผลอันมีราคาที่วอดวายสิ้น พลันจิตใจของเขาก็ค่อยแช่มชื้นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
Comments
Post a Comment