เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น



ปรับปรุงจาก เสวนา 112: ถึงเวลาคืนความเป็นธรรมให้ผู้ถูกกล่าวหา
อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว, วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม 2554



ผมขอเริ่มจากในมุมของนักเขียนก่อนนะครับ  หลังจากที่มีการออกแถลงการณ์จดหมายเปิดผนึก ก็มีคำถามจากหลายฝ่าย เช่น เสรีภาพเกี่ยวข้องกับนักเขียนยังไง?  มาตรา 112 เกี่ยวอะไรกับนักเขียน?  ถ้าเกิดไม่แก้แล้วจะเขียนหนังสือไม่ได้หรือไง?  ถ้าแก้แล้วจะเขียนหนังสือดีขึ้นหรือยังไง?  อันนี้เป็นคำถามที่ถามมายังกลุ่มนักเขียน

ในมุมของนักเขียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแต่งหรือว่าเรื่องจริง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดหรือว่าการแสดงจินตนาการ ความคิดใหม่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเกิดไม่มีเสรีภาพหรือว่าตกอยู่ในสภาพที่ถูกปิดกั้นทางความคิดเห็น มาตรา 112 กระทบเสรีภาพของนักเขียน ทั้งเสรีภาพในฐานะของพลเมืองของรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย  แล้วก็ในฐานะของนักเขียนด้วย 

ประเด็นอยู่ตรงนี้นะครับ พื้นที่ของการเขียนหนังสือเป็นพื้นที่หนึ่งของการแสดงความคิดซึ่งเป็นพื้นที่ของความขัดแย้ง หมายความว่าโดยธรรมชาติของพื้นที่ของการเขียนหนังสือหรือว่าการแสดงความคิดเห็น ความขัดแย้งจะทำให้เกิดความคิดใหม่ขึ้นเสมอ  ความขัดแย้งนำมาสู่ความคิดที่ดีกว่า ความแตกต่างและความขัดแย้งคือจุดกำเนิดของความคิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนวรรณกรรมหรือบทความ เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ล้วนต้องการพื้นที่ที่เสรีในการสร้างสรรค์ทางปัญญาทั้งสิ้น ความคิดเห็นทั้งที่ดีและเลว ต้องมีสิทธิ์เท่ากันในการนำเสนอ แม้ว่าจะเป็นความคิดเห็นที่เลว เป็นความคิดเห็นที่ใช้ไม่ได้ ก็อาจจะเป็นประโยชน์และสามารถก่อให้เกิดความคิดที่ดีกว่าได้

ยกตัวอย่าง ทุกวันนี้เวลาเดินทางไกลเรานั่งเครื่องบิน แต่เราก็ไม่ได้มีเครื่องบินมาตั้งแต่แรก ถูกไหมครับ แต่ก่อนถ้าต้องเดินทางข้ามทวีปคนก็นั่งเรือ ทุกวันนี้ยกเลิกการใช้เครื่องบิน กลับไปนั่งเรือแทนคงไม่มีใครเอา แต่ก่อนจะสร้างเครื่องบินได้คนก็ทดลองมาเยอะ เช่น เอาปีกมาติดหลังให้เหมือนนกแล้วพยายามจะบิน หลายการทดลองเป็นความคิดที่ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นมาก่อน ในที่สุดเราจะสร้างเครื่องบินได้ไหม เพราะฉะนั้น ความคิดที่แย่หรือความคิดที่ยังใช้ไม่ได้มันสามารถที่จะนำไปสู่ความคิดที่ดีกว่า อันนี้คือประเด็นที่ทำไมความคิดที่ทั้งดีและไม่ดี ความคิดที่จะถูกยอมรับหรือไม่ถูกยอมรับ ความคิดที่จะผิดศีลธรรมผิดจารีตประเพณี ในพื้นที่ของการแสดงความคิดแสดงปัญญาจะต้องมีสิทธิ์แสดงเท่ากัน ไม่ว่าความคิดนั้นจะขัดแย้งกับความรู้สึกของคนในสังคมแค่ไหน แต่โดยหลักการเสรีภาพแล้ว เสรีภาพจะดำรงอยู่ได้ ความคิดต้องมีสิทธิ์แสดงออกเท่ากัน อันนี้คือประเด็นที่เป็นพื้นฐาน

มันมีคำคมของฝรั่งที่กล่าวเอาไว้ว่า วิธีเดียวที่คุณจะขจัดความคิดที่คุณไม่ชอบออกไป ก็คือการเสนอความคิดที่ดีกว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112 หรือยกเลิกมาตรา 112 มีทางออกที่ดีกว่าไหม? ทุกวันนี้เขายังไม่มี การที่คุณไม่มีความคิดที่ดีกว่า แต่คุณใช้กำลัง ใช้อำนาจ ใช้ความรู้สึกจากจารีตประเพณี ใช้วัฒนธรรม ใช้อำนาจนำในเชิงวัฒนธรรม เพื่อที่จะกดขี่ปิดกั้นกดปราบความคิดที่คุณไม่ชอบ อันนี้ไม่ได้อยู่ในหลักการของเสรีภาพ

มาตรา 112 กระทบกับนักเขียนโดยตรงแน่ถ้าเกิดว่าคุณจะเขียนเกี่ยวกับวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา  คุณไม่มีทางเขียนได้ถ้าคุณไม่เขียนถึงสถาบันกษัตริย์ เป็นไปไม่ได้ เพราะสถาบันกษัตริย์ถูกทำให้ลงมาเกี่ยวกับการเมืองขนาดนี้ คุณไม่สามารถที่จะพูดถึงวิกฤตการเมืองโดยไม่พูดถึงสถาบันกษัตริย์

สอง แม้ว่าในสภาพที่ไม่ใช่วิกฤต ผมถามว่าคุณจะเข้าใจสังคมไทยให้ลึกจริงๆ โดยปิดเรื่องสถาบันกษัตริย์ไว้ได้ไหม?  สมมุติว่าคุณเขียนหนังสือ คุณไม่ต้องเขียนเรื่องการเมืองก็ได้ คุณเขียนเรื่องสังคม เขียนเรื่องความรู้สึกของผู้คนบนท้องถนน สมมติคุณเขียนถึงตัวละครคนหนึ่ง รถติดอยู่บนถนนเพราะติดขบวนเสด็จเสร็จแล้วมันก็สบถออกมาเพราะว่ามันไม่พอใจรถติด คุณรู้ว่าตัวละครคุณสบถเพราะไม่พอใจแน่ๆ แต่คุณไม่กล้าเขียน เพราะกลัว 112 ตัวละครตัวนั้นก็ไม่สมจริง นี่เป็นแค่ตัวอย่างตื้นๆ ให้เห็นรูปธรรม แต่ถ้ามันกินลึกเข้าไปในระบบคิด กินเข้าไปถึงจิตสำนึก บางครั้งมันจะทำให้คุณมองปรากฏการณ์ทางสังคมบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง โดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ สิ่งที่คุณเขียนก็บิดเบี้ยวโดยที่คุณไม่รู้ตัว

ภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มันไม่ได้มาจากตำราของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ว่าภูมิปัญญาทุกภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มันมาจากการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของผู้คนในสังคมนั้น คุณเรียนรู้จากความคิดเห็นที่คนอื่นในสังคมแสดงออกและคุณก็แลกเปลี่ยนกัน ภูมิปัญญาในสังคมจะงอกเงยขึ้นมาด้วยวิธีนี้  ไม่ใช่ด้วยวิธีที่ใครมาบอกว่าอันนี้คือสิ่งที่เป็นปัญญาแล้วคุณก็ต้องท่องจำอันนั้นอันนี้ ผมไม่คิดว่าปัญญาชนหรือว่านักวิชาการประเทศไหนจะยอมรับ จะให้ใครคนใดคนหนึ่งมากำหนดว่าอะไรคือสิ่งที่ฉลาดที่สุดที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ แต่มันจะต้องเกิดมาจากการพัฒนา การแลกเปลี่ยน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอย่างเสรี คุณไปปิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ไม่ได้ คุณบอกว่าคุณอธิบายสังคมไทยเนี่ย แล้วคุณปิดเรื่องสถาบันไว้ ยกเว้นไว้เรื่องหนึ่ง สังคมไทยที่คุณอธิบายมามันก็แหว่งวิ่น บิดเบี้ยว วิกลจริต อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เพราะฉะนั้น พื้นที่ทางวรรณกรรม พื้นที่ทางศิลปะจำเป็นที่จะต้องมีความเป็นอิสระ การแสดงความคิดเห็นจำเป็นจะต้องมีเสรีภาพ เสรีภาพตัดแบบเค้กไม่ได้ มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี ไม่สามารถแบ่งแยกได้ สิ่งที่เป็นอยู่ ณ วันนี้ คือคุณไม่สามารถบังคับความคิดคนได้นะครับ รัฐหรือผู้มีอำนาจไม่สามารถบังคับความคิดใครได้ แต่คุณไปบังคับการแสดงออกทางความคิดแทน ทำให้คนไม่สามารถแสดงออกความคิดที่เขาคิดจริงได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคุณบังคับให้คนไม่พูดความจริง คุณทำให้คนพูดความจริงไม่ได้ คุณบังคับให้คนโกหก สังคมนี้ก็เลยเป็นสังคมที่อยู่กันด้วยการโกหก ก็เป็นสังคมตอแหล

ไม่ว่าความคิดเห็นนั้นจะดีหรือเลว ไม่ว่าความคิดเห็นนั้นคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ คุณจะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าเขามีสิทธิ์แสดงออกซึ่งความเห็นนั้น  อันนี้เป็นรากฐานของเสรีภาพในการแสดงความคิด มันมีคำคมอีกประโยคหนึ่งของฝรั่ง เขาพูดว่า แม้ว่าฉันจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด แต่ฉันจะปกป้องสิทธิ์ในการพูดของคุณด้วยชีวิตอันนี้คือสปิริตของคนที่เข้าใจในเรื่องหลักการของเสรีภาพอย่างแท้จริง คืออย่างเช่น ผมไม่เห็นด้วยกับคุณสนธินะครับ ไม่ว่าคุณสนธิจะพูดห่วยยังไง คุณสนธิจะพูดเลวขนาดไหน คุณสนธิก็ยังมีสิทธิ์พูดในความเห็นผม คือผมก็ไม่มีความคิดที่จะปิดปากคุณสนธิ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ผ่านมา คนฝ่ายเดียวมีสิทธิ์พูดอยู่ตลอด อันนี้เดี๋ยวจะโยงไปทีหลังซึ่งมีรายละเอียด จริงแล้วหลายท่านก็พูดไปแล้ว อาจารย์สุธาชัยก็พูดไปแล้ว

ผลของการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 ที่ผ่านมาในสังคมไทย คือวันนี้ผมมีเอกสารซึ่งเป็นสถิติใหม่เข้าใจว่าหลายคนในที่นี้อาจจะยังไม่ทราบ อาจารย์สุธาชัยได้พูดไปบ้างแล้ว เข้าใจว่าน่าจะเป็นเอกสารเดียวกันหรือเปล่า ผมเพิ่งได้จากคุณเดวิด สเตรคฟัส ซึ่งเป็นสถิติใหม่ คุณเดวิดเป็นนักวิชาการที่ทำเรื่อง 112  นะครับ ทำเรื่อง 112 มาหลายปีแล้วเก็บสถิติเอาไว้ อันนี้เป็นสถิติใหม่ ผมจะไล่จากปี 2005 นะ ปี 2005 มีคดี มีกรณีกล่าวหาเป็นสำนวนเพื่อจะฟ้องร้องดำเนินคดี 33 สำนวน ปี 2006 30 สำนวน ปี 2007 126 สำนวน ปี 2008 77 สำนวน ปี 2009 164 สำนวน ปี 2010 นะครับ ปี 2553 ปีที่แล้ว 478 สำนวน ปีที่แล้ว อันนี้คือการบังคับใช้ นี่คือผลของการใช้กฎหมายมาตรา 112 ที่ผ่านมาในสังคมไทย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของคนไทยไม่เฉพาะนักเขียน ตกอยู่ในภาวะวิกฤต

การบังคับใช้และการดำรงอยู่ของมาตรา 112 ในปัจจุบันนี้ ที่เป็นอยู่นี้ จากสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาทั้งหมด มันไม่ใช่การปกป้องสถาบันอีกต่อไปแล้ว ต้องเข้าใจว่าการใช้มาตรา 112 ณ ขณะนี้ไม่ใช่เป็นการปกป้องสถาบันอีกต่อไปแล้วตามคำกล่าวอ้าง แต่เป็นการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือในทางการเมือง เพื่อที่จะปิดปากคนอื่น การอ้างความจงรักภักดีมาปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นของคนที่คุณไม่เห็นด้วย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและทุกฝ่ายต้องยอมรับร่วมกัน แม้แต่ฝ่ายรอยัลลิสต์ สิ่งที่เกิดนี้ไม่สามารถที่จะพูดได้ว่าเป็นการปกป้องสถาบันอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าสถาบันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยหลังจากมีการบังคับใช้มาตรา 112 อย่างที่ผ่านมา มันมีแต่เยอะขึ้น มันมีกรณีหลายกรณี กรณีใหญ่ อย่างเช่นผังล้มเจ้านะครับ การแถลงของ ศอฉ. เมื่อระหว่างเหตุการณ์เมษา-พฤษภา กับคำให้การของ พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิดในศาล มันสะท้อนให้เห็นความตลบแตลงของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเห็นอยู่ชัดว่านี่คือการใช้ข้ออ้างเรื่องสถาบันมาเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมือง

กรณีล่าสุดที่ผมคิดว่าควรจะพูดไว้สักนิดในที่นี้ เพราะว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยเห็นก็คือกรณีของดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กรณีของดร.สมศักดิ์ ถูกฟ้องเพราะว่าจดหมายสองฉบับที่เขียนถึงฟ้าหญิงจุฬาภรณ์นะครับ ซึ่งดร.สมศักดิ์เขียนโต้แย้งฟ้าหญิงที่ให้สัมภาษณ์ในรายการวูดดี้เกิดมาคุย คือการฟ้องของทหารนี่มันสะท้อนอะไรที่ค่อนข้างน่าประหลาด เพราะอันดับแรก มาตรา 112  กฎหมายกำหนดให้คุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการ ไม่มีคนอื่นนอกจากสี่คนนี้นะ คุณอานันท์ ปันยารชุน ก็เพิ่งพูด เพิ่งพูดออกทีวีไปไม่กี่เดือนก่อน ก็บอกว่าแค่สี่คนนี้ ไม่มีคนอื่น เพราะฉะนั้น น่าประหลาดที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ไง หมายความว่าคดีของดร.สมศักดิ์จะเกิดขึ้นได้ยังไงในเมื่อไม่ได้อยู่ในกฎหมาย สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็เพราะว่าทางทหาร ทางเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ความเคยชิน ใช้ความรู้สึกจากจารีตประเพณีว่าถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องของเจ้านายทุกคน เป็นลูกท่านหลานเธอทุกคนมันจะต้องเกี่ยวกับ 112 จะต้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไปเสียทุกเรื่อง ก็เลยทำให้เกิดคดีแบบนี้ขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ ผิดมากเลย

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ 2475 แล้ว ระบบเจ้านายนี่ยกเลิกไปแล้ว ทุกวันนี้ไม่มีเจ้านายแล้วนะครับ ทุกวันนี้คือเราอยู่ในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยซึ่งคนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เจ้านายไม่มี ที่มีอยู่ก็คือมีเพื่อให้เกียรติ แต่ผลทางกฎหมายไม่มีนะครับ ทหารไม่เข้าใจ ทหารนึกว่ายังไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองหรือไงไม่ทราบ คือการฟ้องอย่างนี้เป็นการฟ้องที่มั่วมาก ไม่มีเหตุผลในทางกฎหมายเลย เป็นที่น่าประหลาดใจที่สื่อไม่ตั้งคำถามเลย สื่อกระแสหลัก สิ่งที่เกิดขึ้นตัวอย่างของกรณีดร.สมศักดิ์ที่ผมพูดเนี่ย เพราะว่ามันชัด มันชัดตรงที่ว่ากฎหมายมาตรา 112 นอกจากจะถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองแล้ว  กรณีตัวอย่างนี้ยังทำให้เห็นว่ายังถูกใช้เพื่อบังคับการปฏิสัมพันธ์หรือการแสดงออกระหว่างประชาชนทั่วไปกับคนที่เป็นเจ้านาย หรือคนที่ถูกเข้าใจว่าเป็นเจ้านายให้เหลือเพียงช่องทางเดียวนะครับ คือคุณไม่สามารถที่จะ- ถ้าเกิดเขาแสดงความเห็นออกมาคุณไม่สามารถไปโต้แย้งได้ คุณไม่สามารถแสดงความเห็นได้ เขาบังคับให้คุณต้องหมอบกราบแล้วก็กินอาหารหมาอย่างเดียวแบบวูดดี้เกิดมาคุย และนี่คือผลที่เกิดขึ้นจากมาตรา 112

การที่ทหารทำอย่างนี้มันเท่ากับบังคับให้ประชาชนต้องแสดงออกต่อเจ้านายด้วยวิธีนี้วิธีเดียวนะ ถึงจะได้รับการยอมรับ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยคุณเถียงในฐานะนักวิชาการ ฟ้าหญิงก็เป็นนักวิชาการ ดร.สมศักดิ์ก็เป็นนักวิชาการ เถียงกันในฐานะนักวิชาการไม่ได้ ต้องไปกราบและกินอาหารหมาถึงจะได้ อันนี้คือผลที่เกิดขึ้นของมาตรา 112 ซึ่งเราเห็นว่ามันมาไกลมากแล้วในวิกฤตการเมืองนี้ มันไกลจากรัฐธรรมนูญมาก

สถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญคือสถาบันที่มีหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้นะครับ มาตรา 8 ที่ให้เคารพสักการะ ก็ให้เคารพในฐานะของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นประมุขของรัฐตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ สถาบันกษัตริย์ไม่ได้หมายถึงเจ้านายทุกพระองค์  แต่หมายถึงสถาบันที่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ทหารต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย ทีนี้ ผลของการใช้มาตรา 112 ที่กระทบต่อสิทธิ์ของประชาชน อันดับแรกเลยคือละเมิดสิทธิ์ที่ประชาชนต้องมีในรัฐที่เป็นนิติรัฐ เป็นสิทธิพื้นฐานนะครับ ในกระบวนการปฏิบัติที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา เช่น การไม่ให้ประกันตัว การไต่สวนแบบปิดลับ อันนี้เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ในนิติรัฐ แล้วก็โทษนะครับ  3-15 ปีนี่เป็นสิ่งที่ละเมิดรัฐธรรมนูญ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นมาตรา 25  รัฐธรรมนูญระบุไว้ว่าการบัญญัติกฎหมาย ต้องมีหลัก เป็นไปตามหลักของความสมควรแก่เหตุ ซึ่งการบัญญัติตัวบทของกฎหมายมาตรา 112 โทษที่เป็นอยู่นี่ละเมิดนะ เพราะว่าเมื่อเทียบกับการหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปหรือเทียบกับโทษอาญาร้ายแรงมันรุนแรงกว่า ซึ่งมันไม่มีเหตุผลในทางกฎหมาย ทางสามัญสำนึกก็ไม่มีเหตุผล สอง ละเมิดสิทธิศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีความเป็นพลเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิมนุษยชน อันนี้ไม่ต้องพูดถึง มีคนพูดถึงไปเยอะแยะมากมาย ละเมิดอุดมการณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ละเมิดหลักเรื่องสิทธิความเสมอภาค ซึ่งหลายท่านก็พูดไปแล้ว การบังคับใช้ไม่เท่าเทียมกัน รัฐธรรมนูญก็ระบุไว้อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย การบังคับใช้ไม่มีความสอดคล้อง

สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสี่ปีห้าปีนี้ก็คือมาตรา 112 เนื่องจากถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง มากล่าวหาคนจำนวนมาก ที่ผ่านมาคนจำนวนเป็นล้านคนนะ  ในผังล้มเจ้า ก็คือกล่าวหาคนเสื้อแดงนั่นเอง เป็นล้านคนว่าไม่จงรักภักดี แต่แท้ที่จริงแล้วคือใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ทางการเมือง คืออยู่คุณมาพูดว่าคนเป็นล้านหลายล้านคนไม่จงรักภักดี แล้วก็มีการพูดซํ้าทุกวัน สุดท้ายผลที่เกิดขึ้นก็คือ มันถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ทางการเมืองกับคนจำนวนมาก เผลอจะเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยซํ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้มาตรา 112 และประเด็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ถูกนำมาพัวพันกับวิกฤตการเมืองอย่างแยกไม่ออก หมายความว่าคุณจะปรองดองไม่ได้ถ้าคุณไม่แก้ปัญหาเรื่อง 112 และสถาบัน คุณจะก้าวไปข้างหน้าคุณจะออกจากวิกฤตไม่ได้เลยถ้าคุณไม่แก้เรื่อง 112 และปัญหาเกี่ยวกับสถาบัน ณ เวลานี้เป็นอย่างนี้แล้ว ผู้มีอำนาจฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะต้องเข้าใจประเด็นนี้ด้วยว่าวิกฤตการเมืองตอนนี้เดินมาถึงจุดที่กฎหมาย 112 และสถาบันกษัตริย์พัวพันกับวิกฤตการเมืองจนคุณไม่สามารถออกจากวิกฤตโดยไม่แก้ไขสิ่งนี้ได้แล้ว

ประเด็นสุดท้ายซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้มาตรา 112 สิ่งที่อยากจะทิ้งท้ายไว้ก็คือ การนำจารีตความรู้สึกที่มีต่อสถาบันกษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์นะครับ น่าจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อพระมหากษัตริย์ในฐานะบุคคลด้วยซํ้านะ มาใช้อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงสื่อสารมวลชนและก็นักเขียนเอง จากการลงชื่อเรียกร้องครั้งนี้ก็เห็นอยู่ว่าเกิดขึ้น ก็คือมีการเซ็นเซอร์ตัวเอง การเซ็นเซอร์ตัวเองเป็นประเด็นที่ในโลกตะวันตกถือว่าร้ายแรงที่สุดแล้วในเรื่องหลักของเสรีภาพ เมื่อไรที่คุณเซ็นเซอร์ตัวเอง หลักการเกี่ยวกับเสรีภาพถูกทำลายมากที่สุดแล้ว เพราะว่าคุณลดทอนสิทธิ์ในการแสดงออกแสดงความคิดเห็นของตัวเอง คุณลดทอนสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ของคุณเอง เมื่อคนเลือกที่จะไม่พูดสิ่งที่เขาคิดจริงนะครับ การอภิปรายการถกเถียงการนำเสนอข่าว การพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับสังคม เกี่ยวกับวิกฤตการเมือง ทุกอย่างไม่น่าไว้วางใจหมด ทุกอย่างไม่รู้ว่าพูดจริงไม่จริงเพราะพูดได้ไม่หมด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้พื้นที่ที่เรียกว่า public sphere พื้นที่สาธารณะ อะไรก็ตามที่เป็นการพูดในพื้นที่สาธารณะ  อะไรก็ตามที่เป็นการแสดงออกทางการเมืองในพื้นที่สาธารณะ ขณะนี้พูดได้ไม่หมด ต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง เท่ากับว่าเราก็อยู่กันด้วยการตอแหล

Comments