ปริมาตรรำพึง





  
...เธอจะเคี้ยวหมากฝรั่งแทน ไม่มีใครรู้ว่าเธอพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองและคนอื่นบ้าง คำพูดทุกคำ และทัศนคติของเธอที่เกี่ยวกับโลกใบนี้ อยู่ในหมากฝรั่งที่เธอเคี้ยว อยู่ในแรงบดขยี้ของฟันกราม เธอพยายามฝังมันไว้ในนั้น ซ้อนทับแล้วซ้อนทับอีก เหล่าร้อยประโยคตอนกลางวัน ถูกพับทับซ้อนไปกับประโยคตอนค่ำของวันเดียวกัน...
                ผมสงสัยว่ามันต้องเป็นคำหยาบคายสีแดง...

จินตภาพอันอ่อนหวานคือเสน่ห์ของรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ ข้อความข้างบนคือบางส่วนที่ยกมาจากเรื่องสั้นชื่อ เธอ

เมื่ออ่านรวมเรื่องสั้น ปริมาตรรำพึง จบ  เราจะพบกับความเฉื่อยชนิดหนึ่ง เป็นความอ้อยอิ่งเยี่ยงเดียวกับการพบดอกไม้แปลกตาขึ้นอยู่ริมทางเดิน เราไม่อาจเดินผ่านมันไป มันเย้ายวน เชื้อชวนเราให้หยุดมอง จากนั้นเมื่อเราหันหลังให้กับความรีบร้อนชั่วขณะ อ้อยอิ่งอยู่ใกล้ ๆ ดอกไม้ดอกนั้น ใจของเราลอย เดินทางไปยังที่ไกล

ความละเมียดละไม ปราศจากน้ำหนักและจุดหมาย บางลีลาโศกเศร้าคล้ายเพลงบลู บางครั้งตัวหนังสือเอื่อยเฉื่อยไร้ท่วงท่าเหมือนเพลงแจ๊ส เป็นเมโลดีที่ไหลลื่น และจบลงโดยที่เราไม่รู้ตัว ทั้งหมดทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนบทเพลงแปลกหู คล้ายดอกไม้แปลกตา แต่เพลิดเพลินยามได้อ่าน

พลังของจินตภาพเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะกับงานวรรณกรรมกระแสสำนึก และงานในสกุลเหนือจริงแบบต่าง ๆ  นั่นคือสิ่งที่เห็นจากภายนอก แต่สาระสำคัญของจินตภาพไม่ได้เป็นเพียงแค่การประดับประดาหรือโปรยเสน่ห์ให้กับเรื่อง ทั้งไม่ได้มีหน้าที่แค่การดำเนินเรื่องไปข้างหน้าหรือย้อนกลับ จินตภาพยังสามารถใช้เป็นแหอวนลากจับปลาได้ทั้งน้อยใหญ่ แน่นอน ปลาเหล่านั้นย่อมเป็นสิ่งที่นักเขียนต้องการมอบให้กับผู้อ่าน

นั่นเป็นเพียงบางส่วน หาใช่ทั้งหมด บางเรื่องสั้นในหนังสือเล่มนี้ยังสุ้มซ่อนท่าทีของการวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้ ภายใต้ใบหน้าไม่สนใจใยดี เรื่องราวส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงของผู้ทำงานศิลปะและโฆษณา นอกจากนี้แล้วมันคือสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

เรื่องสั้นอีกจำนวนหนึ่งเป็นเรื่องของการต่อสู้ของคนที่กำลังจะโต ทั้งอ่อนหวานและเจ็บปวด เมื่อเด็กหนุ่มและเด็กสาวพยายามจะบินออกจากอ้อมอกของพ่อและแม่ การต่อสู้เพื่อที่จะได้ดูแลตนเองอาจจะเป็นขั้นตอนสำคัญของมนุษย์ ตัวตนเป็นสิ่งเปราะบาง ก่อนที่เขาจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง ความรู้สึกเหล่านั้นอบอวลอยู่ในเรื่องสั้นหลายเรื่อง

เรื่องสั้นเล่มนี้ง่ายที่จะผ่านเลย เมื่ออ่านแล้วก็ยังยากที่จะจดจำ เนื่องจากน้ำหนักที่แสนเบาของมัน แต่เสน่ห์ของมันก็ร้อยรัดอยู่กับความเบานั้น

บางคนให้ความเห็นว่า อุทิศ เหมะมูล ผู้เขียนรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ได้รับอิทธิพลของ แดนอรัญ แสงทอง มากเกินไป แต่ผมเห็นว่าอุทิศกำลังปีนเขา ไม่มีนักไต่เขาคนไหนหลบเงาของเขาพ้น ผู้ปีนเขาจึงคือผู้ที่กล้าจะอยู่ในเงาของเขา ก่อนจะเหยียบยืนอยู่บนยอด คนขี้ขลาดหลบเลี่ยงอยู่บนเนินลูกย่อม ๆ  กลัวแม้กระทั่งเงาของเขา

ถึงอย่าไร ความเห็นนั้นก็ไม่เลื่อนลอยเสียทีเดียว รวมเรื่องสั้นเล่มนี้มีกลิ่นที่จะทำให้เรานึกถึงงานของแดนอรัญได้ แต่ก็มีสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองไม่น้อย ลีลาภาษาที่ก่อให้เกิดจินตภาพเฉพาะตัวเกิดขึ้นแล้วในปริมาตรรำพึง

เทคนิค กลวิธีการเล่าเรื่องไม่หลากหลายนัก แต่ก็มิได้ซ้ำซาก มีความพยายามที่จะทดลองในหลายลักษณะ เปรียบได้กับผู้ที่ใช้สิ่วค้อนเป็นครั้งแรก เป็นการลองขยับให้เป็นท่วงท่าต่าง ๆ ในการสลักเสลา

ปริมาตรรำพึง เป็นหนังสือเล่มที่สองของนักเขียนรุ่นใหม่นามอุทิศ เหมะมูล ผลงานเล่มแรกของเขาคือนิยายชื่อ ระบำเมถุน  เป็นนิยายที่น่าทึ่งทีเดียว  ตัวละครสมสู่ได้กับทั้งชายและหญิง เปรียบได้กับความพยายามที่จะทุบทำลายพรมแดนทางเพศ ความรักของเพศทั้งสองคู่ขนานกันไป แต่ความเจ็บปวดเกิดขึ้นจากความรู้สึกทั้งรักและเกลียด ทั้งหมดนี้นำเสนอบนบรรยากาศของหนุ่มสาวนักเสพศิลปะ เล่าเรื่องราวเป็นชิ้น ๆ และเราต้องนำมาประกอบกันเอง เนื้อหาอาจจะยังมีคำถาม แต่ทักษะการประพันธ์ยังคงเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง รวมถึงพลังและความเร่าร้อนในการเขียนก็ประจุตัวอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เป็นนิยายของคนหนุ่มผู้คลั่งศิลปะโดยแท้ และไม่เก้อเขินที่จะนับญาติกับเซียงไฮ้เบบี้ที่มีฝรั่งออกปากชมเสียงดัง หากเปรียบเทียบกันแล้ว เชื่อว่าจะสูสีกินกันไม่ลง และไม่แน่ว่าระบำเมถุนอาจมีชัย

สำหรับหนังสือเล่มแรกของนักเขียนหนุ่ม ระบำเมถุนเป็นนิยายที่ทะเยอทะยาน และประสบผลสำเร็จไม่น้อยในความทะเยอทะยานนั้น แต่ผลสำเร็จนั้นเกิดขึ้นในกลุ่มผู้รักวรรณกรรมส่วนน้อยเท่านั้น นิยายเล่มนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก ปัจจุบันหาซื้อได้ยากมาก หากพบเจอที่ไหนคอวรรณกรรมไม่ควรเสียดายเงิน

พิมพ์ครั้งแรก วารสารหนังสือใต้ดิน

Comments