วิจารณ์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ประโยคที่เป็นหัวใจของวิธีคิดและความเข้าใจของเนาวรัตน์
พงษ์ไพบูลย์ ในบทสัมภาษณ์ มีแค่นี้:
“การปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้งก็คือการโค่นอำนาจของขุนทหารด้วยกันเองเผด็จการคือศัตรูประชาธิปไตยในวาทกรรมในขณะนั้นก็คือ
พวกขุนทหาร จึงมีคำขวัญคือ นายทุนขุนศึกศักดินา นายทุนก็คือ ทุน ขุนศึกก็คือทหาร
ศักดินาก็คือระบบอำมาตย์ไพร่ สมัยนั้นขุนศึกศักดินานั้นค่อนข้างชัด
แต่ว่าทุนยังไม่ชัด เราไม่ได้ต้านสักเท่าไหร่”
“จนกระทั่งตอนหลังก็ยังโค่นกันระหว่างขุนศึก ตอนหลังช่วงหลังจาก
17 พ.ค. 2535 ขุนศึกก็ล้าศักดินาก็โรย เราดันลืมทุนไป
ปล่อยให้เติบโตขึ้นมากับความมืดมันกลายเป็นทุนสามานย์และทุนทรราช”
“ผมเคยพูดอยู่เสมอว่า
ประชาธิปไตยของประชาชนมันเหมือนนกพิราบที่อยู่ในกรงของขุนศึกศักดินามา
แต่วันนี้กรงนั้นมันผุ แทบไม่ต้องถอดกลอนมันก็จะพังอยู่แล้ว
แต่ว่าข้างนอกกรงมันมีงูอยู่เพ่นพ่าน มีพวกตะกวด ตุ๊กแก จิ้งเหลน
กิ้งก่าเยอะแยะเลยที่รอเขมือบอยู่ ล้อมรอบอยู่ทั้งหมด
ทำให้ต้องเลือกว่าคุณจะถอดกลอนหรือคุณจะตีงู”
ส่วนที่เหลือเป็นการพยายามสร้าง “วาทะ” ซึ่งมีแต่น้ำ และเป็นการพูดเพื่อหาเสียง
จากคำพูดที่ยกมาสะท้อนให้เห็นความเข้าใจของเนาวรัตน์เกี่ยวกับประชาธิปไตยว่าคือ
“การมองหาศัตรูสูงสุด”
โดยสมัยก่อนเนาวรัตน์มองว่าศัตรูนี้คือ “ขุนศึกศักดินา” และ ปัจจุบันคือ “ทุน”
ส่วน “ขุนศึกศักดินา”
(คำของเนาวรัตน์) ปัจจุบันเขามองว่า “ขุนศึกก็ล้า
ศักดินาก็โรย”
คำว่า “ขุนศึก” เนาวรัตน์นิยามว่า “ทหาร” ส่วนศักดินา
เนาวรัตน์นิยามว่า “คือระบบอำมาตย์ไพร่”
เพราะฉะนั้น ปัจจุบันตามความเข้าใจของเนาวรัตน์ “ทหารก็ล้า ระบบอำมาตย์ไพร่ก็โรย” ดังนั้น “ทุน” จึงคือ “ศัตรูอันดับหนึ่ง”
ของประชาธิปไตย และความหมายโดยนัยก็คือ หากกำจัด หรือจัดการกับ “ทุน” ได้ เราก็จะเป็นประชาธิปไตย
สังเกตคำพูดเนาวรัตน์ที่ผมยกมาย่อหน้าที่ 2 ดี ๆ
ที่ว่าว่า “ขุนศึกก็ล้า ศักดินาก็โรย เราดันลืมทุนไป...”
ตามความเข้าใจของเนาวรัตน์ คือ ตั้งแต่ 14 ตุลา
16 มาจนถึง 17 พ.ค. 35 เขา (เนาวรัตน์) มุ่งจัดการศัตรูอันดับหนึ่งคือ “ขุนศึกศักดินา” โดยที่เขา (เนาวรัตน์) ลืมทุนไป
จนกระทั่งศัตรูอันดับหนึ่งของเขา ล้า-โรย ทุนก็ขึ้นมาเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง
(ที่เขาเคยลืมไป) แทน
ดังนั้น ตั้งแต่ ก่อน 19 กันยายน 2549 จนถึง
หลัง 22 พฤษภาคม 2557 ความเข้าใจของเนาวรัตน์ ในเรื่องประชาธิปไตย
เป็นดังต่อไปนี้:
- เนาวรัตน์สนับสนุนพันธมิตรที่ชูประเด็นเรื่อง
(คืน) “พระราชอำนาจ” ในช่วงก่อนรัฐประหาร กันยายน 2549
- เนาวรัตน์สนับสนุน หรือ
ไม่คัดค้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
- เนาวรัตน์สนับสนุน รัฐธรรมนูญ 2550 ที่ร่างโดย
สนช. และสนับสนุนการทำประชามติที่บอกว่าให้ “ร้บไปก่อน” แล้ว “แก้ทีหลัง”
- เนาวรัตน์สนับสนุนการชุมนุมของพันธมิตร
หลังจากเลือกตั้ง ธันวาคม 2550 ที่พรรคพลังประชาชนเป็นฝ่ายชนะ
- เนาวรัตน์สนับสนุนการปลดสมัครจากตำแหน่งนายกฯ
ด้วยเรื่องทำรายการชิมไปบ่นไป
-
เนาวรัตน์สนับสนุนพันธมิตรที่ปลุกระดมเรื่องปราสาทพระวิหารขึ้นมา
-
เนาวรัตน์สนับสนุนพันธมิตรที่ประกาศว่าพวกตนเป็น “ทหารของพระราชา”
- เนาวรัตน์สนับสนุนพันธมิตรเมื่อสนธิโชว์ “ผ้าพันคอสีฟ้า” บนเวที และประกาศว่าได้รับเงินสนับสนุนจาก
(บุคคลใดบุคคลหนึ่ง) ที่ อยู่ใน หรือ อาจจะ ใกล้ชิดราชสำนัก
- เนาวรัตน์สนับสนุนที่พันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล, สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ
-
เนาวรัตน์สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยกองทัพเป็นคนล็อบบี้จัดการอยู่เบื้องหลังที่เรียกกันว่าจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
-
เนาวรัตน์สนับสนุนให้ทหารปราบประชาชนที่ออกมาคัดค้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ในปี 2552 ? หรืออย่างน้อยไม่เห็นด้วยกับการที่ประชาชนออกมาคัดค้านรัฐบาลอภิสิทธิ์เพราะเห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จัดตั้งในค่ายทหารและเรียกร้องให้เลือกตั้งใหม่
- เนาวรัตน์สนับสนุนการล้อมฆ่าในปี 2553
ที่ประชาชนออกมาคัดค้านรัฐบาลอภิสิทธิ์และเรียกร้องให้เลือกตั้งใหม่
- เนาวรัตน์มองว่า
หลังจากเหตุการณ์ข้างบนทั้งหมดนี่และมีเลือกตั้ง 2554
พรรคเพื่อไทยก็เป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง เพราะประชาชนถูกซื้อเสียง
-เนารัตน์สนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญที่่ใช้อำนาจเข้าแทรกแซงการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
(ทั้งที่เคยสนับสนุนว่าให้รับไปก่อนแล้วกแก้ทีหลัง)
- เนาวรัตน์สนับสนุนให้ กปปส. ชุมนุมต่อ
ในปลายปี 2556 แม้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะยอมยุบสภาแล้ว
- เนาวรัตน์สนับสนุนให้ กปปส. ขัดขวางการเลือกตั้ง
ในต้นปี 2557
- เนาวรัตน์สนับสนุนการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557
- เนาวรัตน์เข้าไปเป็น สปช. ซึ่งตั้งโดย
รัฐบาลทหาร และแสดงเจตจำนงจะปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตย
และเทศนาผ่านบทสัมภาษณ์ลงโพสต์ทูเดย์ บอกว่าตนเองเป็นนัก “สัจนิยม”
ผมเห็นว่า
บทสัมภาษณ์ของเนาวรัตน์นอกจากจะไร้แก่นสารแล้ว ยังจะพาให้ภาษาวิบัติไปเสียเปล่า ๆ
อย่าเอาคำว่า “สัจนิยม” ไปเป็นสมบัติส่วนตัวเลยครับ
เพราะไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจ, พฤติกรรม หรือแนวคิด
ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องหรือควรจะเกี่ยวข้องกับสัจนิยมแม้แต่น้อย
จากคำพูดและพฤติกรรมข้างต้น
ทำให้เห็นว่าเนาวรัตน์ไม่มีความรู้ และไม่ค่อยได้รับการศึกษาในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ
ความเสมอภาค ไม่มีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยแม้แต่น้อยนิด
ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ (ทั้งไทย-ตปท.) รากเหง้า (ทั้ง ไทย-ตปท.) ไอเดีย
คอนเซ็ปท์ พลวัต พัฒนาการ มิติทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ
มิติทางปรัชญาที่สัมพันธ์กับความเป็นมนุษย์ (มนุษย์นิยม)
หรือแม้แต่มิติทางประวัติศาสตร์ความคิดที่ส่งแรงขับเคลื่อนต่อวรรณกรรมต่าง ๆ
รวมถึง สัจนิยม
เนาวรัตน์ไม่เข้าใจไอเดียเรื่อง “สิทธิ” จริง ๆ และไม่เข้าใจว่ามันสัมพันธ์กับพัฒนาการทางการเมืองและประชาธิปไตยอย่างไร
จึงไม่แปลกเลยที่เนาวรัตน์อ้างว่าตนเองกำลัง “สร้างประชาธิปไตย"
ทั้ง ๆ ที่รูปธรรมเชิงประจักษ์คือ เนาวรัตน์สนับสนุนการรัฐประหารถึง 2
ครั้งในเหตุการณ์ทางการเมืองที่ต่อเนื่องกัน และไม่ยอมรับการเลือกตั้งถึง 3 ครั้ง
ในเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นการ "ทำลายสิทธิ" และ
"ทำลายสปิริต" ที่เป็น "หัวใจ" ของระบอบประชาธิปไตย
ระบอบประชาธิปไตยของเนาวรัตน์มีแต่เปลือก
แต่ไม่มี "วิญญาณ" และ "หัวใจ"
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเนาวรัตน์ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ ไม่เคยศึกษาว่า "วิญญาณของกฎหมาย"
และ "วิญญาณของประชาธิปไตย" นั้น
ถือกำเนิดมาอย่างไรใรประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ความจริงเชิงประจักษณ์ก็คือ บุคคล หรือ
พรรคการเมือง ที่เนาวรัตน์ไม่ชอบนั้น ชนะการเลือกตั้งเข้ามา “ทุกครั้ง” แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์รุนแรงสุดขั้วบนท้องถนนมาแล้ว
คนที่มีสปิริต หรือเข้าใจสปิริตของประชาธิปไตย ย่อมจะต้องเข้าใจได้โดยง่าย
(ตั้งแต่ครั้งแรก) แล้วว่า คนส่วนใหญ่เขา “เลือก” แบบนี้ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย
ไม่ใช่ดักดานอยู่กับความเชื่อและข้อกล่าวหาเรื่องซื้อเสียง
ทั้งที่คนก็เลือกแล้วเลือกอีก และคุณก็รัฐประหารแล้วรัฐประหารอีก แบบนี้
มองความเป็นจริงง่าย ๆ
มองพฤติกรรมและความคิดของเนาวรัตน์แบบตรงไปตรงมา
ย่อมจะเห็นได้ไม่ยากว่าเนาวรัตน์นั้น "แก่เพราะกินข้าว
เฒ่าเพราะอยู่นาน" คือไม่ได้รู้เรื่อง
ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากการมีชีวิตทางการเมือง ผ่านวิกฤตการเมืองมา 7-8 ปี ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรขึ้นแม้แต่น้อย
ดักดานอยู่ตรงจุดเดิม ไม่เข้าใจโครงสร้างอำนาจที่เป็นอยู่และที่กำลังจะเป็นต่อไป
คิดง่าย ๆ แค่ว่ามี “ศัตรูอันดับหนึ่ง” คือ “ทุน” แล้วก็เอาอุปทานเรื่องทุนไปสวมไว้กับขั้วอำนาจหนึ่ง
(ทั้งที่ “ทุน” จับอยู่ทุกขั้ว)
แล้วก็สรุปว่า นี่แหละคือศัตรูของประชาธิปไตย
กำจัดไอ้นี่เสียแล้วเราก็จะมีประชาธิปไตย ส่วน "ขุนศึกศักดินา" นั้น
"ล้าและโรย" แล้ว
เอาเข้าจริงแล้ว คนที่เอาแต่
"คิดแบบเดิม" นั้นไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตยที่เนาวรัตน์เกล่าวหา
แต่เป็นตัวเนาวรัตน์เองที่ยังมองปัญหาเชิงโครงสร้างไม่เป็น
ยังมีความคิดที่ติดอยู่กับบุคคลาธิษฐาน คือจะต้องมี "ศัตรู"
(ถึงแม้จะลื่นไหลก็ตาม) จะคอยแต่งตั้ง อะไร หรือ ใคร ให้เป็นศัตรูอันดับหนึ่ง
แล้วก็มุ่งพิชิตสิ่งนั้นเพื่อว่าเอาชนะได้แล้ว ก็จะได้สังคมที่ตนปรารถนา
คิดแบบเนาวรัตน์ฝ่ายทักษิณชนะมาอีก เนาวรัตน์ก็จะเอารัฐประหารอีกเหมือนเดิม
แต่ถ้าทักษิณไม่อยู่หรือขั้วทักษิณสลายไปแล้ว
เนาวรัตน์ก็จะเลิกต่อสู้และหันไปเป่าขลุ่ย ร้องรำทำเพลงเหมือนที่เคยทำมาในอดีต
แล้วถ้ามีปัญหาใหม่ เกิดขึ้นอีกก็จะมีศัตรูตัวใหม่พร้อมกับเรื่องเล่าใหม่มาบอกว่า
"ตอนนั้น เราสู้กับ... แต่เราดันลืม...ไป..." เวียนวนไปเช่นนี้แล
18-11-57
Comments
Post a Comment