เสวนา ม.112 กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข “การเมือง ความยุติธรรม สถาบันกษัตริย์”



อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556
จัดโดย กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ร่วมกับ ThailandMirror



ในคดีของคุณสมยศ ลักษณะของคดีที่ทำให้คุณสมยศถูกตัดสิน ก็คือ โจทก์ฟ้องว่า คุณสมยศมีเจตนาที่จะหมิ่นประมาท มีเจตนาที่จะกระทำผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยการจัดพิมพ์จัดจำหน่ายหนังสือนิตยสารเสียงทักษิณ  หรือ Voice of Thaksin  2 ฉบับที่ตีพิมพ์บทความ 2 ชิ้นต่อเนื่องกัน ปลายเดือนกุมภาฯ กับฉบับต้นเดือนมีนาคม บทความ 2 ชิ้น เขียนโดย จิตร พลจันทร์

ลักษณะการสืบพยานของคดีนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักก็คือ ช่วงแรก โจทก์พยายามจะสืบพยานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า สมยศพฤกษาเกษมสุข เป็นบรรณาธิการและเป็นผู้จัดพิมพ์นิตยสาร 2 ฉบับนี้ อันนี้คือส่วนแรก

ส่วนที่ 2 โจทก์พยายามจะนำสืบ และให้ศาลวินิจฉัย ด้วยการตีความของพยานปากต่างว่าบทความทั้งสองชิ้นนี้เป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์อย่างไร เป็นการตีความของพยานปากต่างนะ หลังจากขั้นตอนที่ 1 ที่สืบพยานและก็วินิจฉัยว่าคุณสมยศเป็นบรรณาธิการ เป็นผู้พิมพ์ผู้จัดจำหน่าย เสร็จแล้วก็เบิกปากคำพยานปากต่างมาบอกว่า บทความสองชิ้นนี้หมิ่นประมาทอย่างไร

คุณสมยศก็ยกข้อต่อสู้ขึ้นมาว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 มีมาตราระบุให้ยกเลิก ...การพิมพ์ 2484 ไปแล้ว ฉะนั้นบรรณาธิการไม่ต้องรับผิดจากความผิดที่เกิดขึ้นในหนังสือที่ตนเองเป็นบรรณาธิการและจัดพิมพ์ ซึ่งมีคดีตัวอย่างเกิดขึ้น เป็นคดีของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ที่หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ฟ้องผู้จัดการเรื่องกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงิน 700 ล้านบาท  แล้วก็พอสู้กันมาถึงชั้นอุทธรณ์ศาลก็ยกฟ้องโดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 แล้ว ซึ่งมีผลให้ ...การพิมพ์ 2484 ยกเลิกไปแล้ว ดังนั้น ความผิดที่ระบุให้บรรณาธิการต้องรับผิดที่อยู่ใน ...การพิมพ์ 2484 ก็ถูกยกเลิกไปด้วย เพราะฉะนั้น บรรณาธิการก็ไม่ต้องรับผิด ใครเขียนคนนั้นก็รับผิดไป ถ้าเกิดการหมิ่นประมาทจริงนะ ใครเขียน ผู้เขียนก็รับผิดไป นี่คือข้อต่อสู้ของคุณสมยศที่ยกขึ้นมาต่อสู้ ศาลก็วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ที่คุณสมยศยกขึ้นมาต่อสู้นี้ทำให้คุณสมยศพ้นจากความผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ไปแล้วเท่านั้น แต่ไม่พ้นจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  เสร็จแล้ว ศาลก็วินิจฉัยให้คุณสมยศมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  ด้วยการเป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย  บทความที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาท

ผมอยากให้สังเกตประเด็นสำคัญที่สุดประเด็นที่หนึ่ง ก็คือ เท่าที่ดูตามหลักฐานที่ปรากฏในคดีทั้งหมด ถ้าจะเกิดความผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ซึ่งศาลวินิจฉัยให้พ้นไปแล้วนะ จะคืออะไร

สมมติ ถ้า...นี้ยังไม่ถูกยกเลิกนะ ความผิดตาม...การพิมพ์ 2484 ก็คือการเป็นบรรณาธิการสิ่งพิมพ์ที่มีบทความหมิ่นประมาท นี่คือความผิดตาม ...การพิมพ์ 2484  แล้วศาลก็วินิจฉัยว่า นี่แหละคือความผิดที่คุณสมยศพ้นไปแล้ว  ตามข้อต่อสู้  เสร็จแล้วศาลก็กลับมาวินิจฉัยอีกว่า แต่คุณสมยศมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คือ คุณสมยศทำอะไร?  คุณสมยศเป็นบรรณาธิการ จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย บทความที่มีสิ่งพิมพ์หมิ่นประมาทนะครับ 

ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยย่อมพ้นผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์  จากการที่คุณสมยศเป็นบรรณาธิการจัดพิมพ์ จัดจำหน่าย สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ที่มีข้อความหมิ่นประมาท และศาลก็วินิจฉัยให้คุณสมยศมีความผิดเนื่องจากเป็นบรรณาธิการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายสิ่งพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์ที่มีข้อความหมิ่นประมาท !!!?

ผมถามว่าติงต๊องไหมครับ? เป็นคำพิพากษาที่ผมขออนุญาตใช้คำว่าปัญญาอ่อนนะครับ นี่คือประเด็นแรก

เป็นการกระทำเดียวกันเลย เหมือนกันทุกประการ ไม่มีข้อแตกต่าง ไม่มีวิธีการอื่นของคุณสมยศเข้ามาเพิ่ม ไม่มีหลักฐานพยานแวดล้อมอื่น ไม่มีหลักฐานอื่นที่จะมาชี้เจตนา เป็นการกระทำเหมือนกันเด๊ะ แล้วก็วินิจฉัยสองอย่างคือ อันแรกวินิจฉัยให้ไม่ผิด เสร็จแล้วก็วินิจฉัยให้ผิดโดยใช้ชื่อกฎหมายคนละชื่อกันนะ

เป็นคำวินิจฉัยที่ขัดแย้งกันเองนะครับ ไม่ทราบว่าผมอธิบายเคลียร์มั้ยคุณจอม  ประเด็นนี้เข้าใจนะครับ ทีนี้ ประเด็นที่สอง คือส่วนของการตีความ  มีประเด็นสำคัญอยู่สองประเด็น ประเด็นแรกการตีความที่เกิดขึ้น ที่ศาลเอามาเป็นเครื่องผูก พิพากษาว่าคุณสมยศผิด นี่คือการตีความของพยานโจทก์นะ มีปัญหาคือเป็นการตีความที่ค่อนข้างกว้าง มีตัวอย่างการตีความที่ผมจะอ่านให้ฟัง

โจทก์มี ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทองจันทรางศุ เบิกความว่า นายธงทองอ่านนิตยสารเสียงทักษิณ ตั้งแต่ข้อความว่า  ...เมื่อก่อนหลงเชื่อว่ามันรักประชาชน โคตรตระกูลไหนที่มือเปื้อนเลือดขนาดนั้นจะให้มันจบดีกระไรได้ แต่จิตรก็ไม่นึกว่าเรื่องมันตั้ง 200 กว่าปีแล้ว กรรมจะมาสนองเอาในตอนนี้ โดยรวมแล้วคำว่าต้นตระกูล สื่อความหมายให้ผู้อ่านนึกถึงราชวงศ์จักรี ประกอบกับคำว่า...พอได้ทีก็โค่นนายตัวเองจับนายไปจองจำ  ซัดว่าสติไม่ดีดูแลบ้านเมืองไม่ได้  แล้วก็จับลงถุงแดงฆ่าทิ้งอย่างทารุณ...เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงท้ายของกรุงธนบุรี  ปี พ.ศ. 2325 กับตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งคล้ายเหตุการณ์ดังกล่าว 

ได้กล่าวว่า ซึ่งคล้ายเหตุการณ์ดังกล่าว  เค้าใช้คำว่า คล้ายด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีอาการวิปลาส พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ เป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในเอกสาร และอยู่ในหลักสูตรการเรียนทั่วไป  ส่วนบทความอีกฉบับนั้น ผู้เขียนใช้ตัวละครชื่อหลวงนฤบาล ผู้เขียนตั้งใจแสดงให้เห็นหรือเข้าใจว่า  หลวงนฤบาลเป็นคนไม่ดี  ควรถูกเกลียดชัง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง  ส่วนข้อความที่ว่า...แถมมีกฎหมายออกมาตั้งสำนักทรัพย์สินส่วนตัวแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2491  แกก็หาเงิน เข้าพกเข้าห่อ ขนาดหนักเพื่อสร้างฐาน... อ่านแล้วเข้าใจได้ว่าหมายถึงสำนักทรัพย์สินส่วนพระมาหากษัตริย์

ประเด็นสำคัญของการตีความของธงทอง สองจุดคือ ประเด็นแรก ธงทองตีความคำว่าโคตรเหง้า โคตรตระกูล หมายถึงราชวงศ์จักรี ในบทความชิ้นแรกนะ เสร็จในบทความชิ้นที่ 2 ศาลก็อ้างนะ อันนี้ผมเข้าใจว่าอาจจะไม่ใช่การตีความของธงทองด้วย  เป็นการตีความของคนอื่น เพราะธงทองเองไม่ได้ลงความเห็นนะว่าบทความชิ้นที่สองนี่หลวงนฤบาลหมายถึงในหลวง ในบทความชิ้นที่สองศาลก็อ้างว่าข้อความที่กล่าวว่า แถมมีกฎหมายออกมาตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนตัวตั้งแต่ 2491หมายถึงสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นะ

ประเด็นแรกคำว่าโคตรเหง้าตระกูล ซึ่งผมได้เขียนไปทางเฟซบุ๊คบ้างแล้ว ถ้าเกิดว่าคุณจะให้หมายถึงราชวงศ์จักรีเท่านั้น เป็นอื่นไม่ได้ ศาลใช้คำนี้นะ ว่า เป็นอื่นไม่ได้จะผิดข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างมากเลย เพราะถ้าเราไปดูพงศาวดาร ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี มีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นร้อยกว่าคนนะ และมีผู้ที่สืบสายตระกูลและก็ยังเป็นตระกูลที่มีบทบาททางการเมืองอยู่จนถึงปัจจุบันนี่ โอ้โห แทบนับไม่ถ้วนนะครับ จะให้หมายถึงรัชกาลที่ 1 เท่านั้น เป็นการตีความที่ไม่สามารถที่จะยอมรับได้

ประการที่ 2 การที่บอกว่าสำนักทรัพย์สินส่วนตัวที่ตั้งขึ้น 2491 ในบทความนี้ หมายถึงสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ศาลบอกอย่างนี้ทั้งที่สำนักทรัพย์สินเองออกมาชี้แจงหลายครั้งว่าสำนักทรัพย์สินเป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่ของพระมหากษัตริย์ แต่ศาลยังยืนยันนะ อันนี้คือ แสดงว่าในหัวศาลเนี่ย มันสะท้อน มันไม่ได้สะท้อนสิ่งที่คนเขียนคิดนะ มันไม่ได้สะท้อนสิ่งที่สมยศคิดนะ มันสะท้อนสิ่งที่อยู่ในหัวศาลว่า ที่จริงศาลเองก็เห็นว่าสำนักทรัพย์สินคือสำนักส่วนตัวของในหลวง ศาล, พยานโจทก์ที่มาให้ปากคำ ตีความอย่างนี้ มันสะท้อนให้เห็นนะว่าเป็นการกระทำจากตัวเขาเอง และการตีความนี้สะท้อนให้เห็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขาว่า เขาเห็นว่าสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ สำนักทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวง ทั้งที่สำนักทรัพย์สินฯ เองออกมาปฏิเสธนะ เวลามีฟอร์บส์ลงข่าวอะไรเขาก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่ของในหลวง เป็นของแผ่นดินนะ ซึ่งอันนี้เขาต้องไปเถียงกันเอง

นี่คือประเด็นที่การตีความมีปัญหา ที่เกิดขึ้นในคดีสมยศ ผมแบ่งง่าย เป็นได้ 4 กรณี กลุ่มพยาน มีพยานมากมายที่ได้รับการเรียกตัวมาเบิกปากคำ ที่อ่านแล้วให้ความเห็นแตกต่างกัน

กลุ่มแรกคือ ส่วนใหญ่เป็นพยานฝ่ายโจทก์ที่ฟ้อง บอกว่า อ่านแล้วตีความว่าเป็นบทความที่หมิ่น อันนี้คือกลุ่มแรกนะ

กลุ่มที่สอง คือกรณีของธงทองนะ คือชิ้นแรกอ่านแล้วมีคำคำหนึ่งทำให้คิดถึงราชวงศ์จักรี  ส่วนชิ้นที่สองอ่านแล้วไม่รู้ว่าหลวงนฤบาลคือใคร พูดง่ายก็คือไม่สามารถชี้ได้ว่าหมิ่น เพราะอ่านแล้วไม่สามารถรู้ได้ว่าหลวงนฤบาลคือใคร อันนี้คือกรณีที่สอง

กรณีที่สาม คืออ่านไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้บทความพูดถึงอะไร พูดอะไรก็ไม่รู้

กรณีที่สี่ กรณีที่สี่เป็นกรณีที่สำคัญที่สุด คือ พฤติการณ์ของศาลเอง ที่อ่านแล้วไม่สามารถวินิจฉัยได้ ต้องไปเรียกพยานโจทก์มาตีความให้ฟัง ตัวศาลเองนั่นแหละ ก่อนที่จะตัดสิน ตัวเองอ่านแล้วก็ไม่รู้หรอกว่าหมิ่นรึเปล่า ต้องเรียกพยานโจทก์มาตีความให้ฟัง สังเกตว่าคดี อากง sms ศาลอ่านแล้วไม่ต้องเรียกใครมาถามเลยนะว่าหมิ่นหรือเปล่า ศาลตัดสินเลยว่านี่เป็นข้อความหมิ่น แต่คดีสมยศ ศาลอ่านแล้วตัวเองก็ไม่รู้หรอกว่าหมิ่นรึเปล่าต้องเรียกพยานโจทก์มาตีความว่า อ๋อ อย่างนี้ อย่างนี้ มันแปลว่าไอ้นี่ไอ้นั่น เพราะฉะนั้นมันหมิ่น ผมถามว่า เอ้า! แล้วถ้าเกิดศาล ผู้พิพากษามาเป็น บ.ก. นี่ตัวเองอ่านแล้วไม่รู้ว่าหมิ่น คุณไม่มีโอกาสปล่อยให้มันพิมพ์ออกไปหรือ?

ถามผู้พิพากษาว่าถ้าผู้พิพากษาเนี่ย คุณไม่มีพยานโจทก์มาตีความให้ฟังแล้วคุณมาเป็น บ.ก. คุณไม่มีสิทธิ์ปล่อยให้บทความชิ้นนี้พิมพ์ออกไปหรือ พฤติกรรมนี้ของศาลเองนั่นแหละที่ฟ้องว่าบทความชิ้นนี้ ลำพังการตีความของคนอื่นแบบนี้เอามาเป็นพยานหลักฐานในการชี้เจตนากระทำผิดของจำเลยไม่ได้นะครับ

ทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะตัวเองเอ่านแล้วตัวเองก็ยังไม่รู้ ตัวเองต้องเรียกพยานโจทก์มาตีความ และสมยศนี่เป็น บ.ก. ไม่มีพยานโจทก์มานั่งตีความให้ฟัง แล้วสมยศไม่มีสิทธิ์ตีความเป็นอย่างอื่นหรือ ศาลพูดเสร็จแล้วก็บอกว่า ตัวศาลเองน่ะอ่านแล้วตัดสินไม่ได้หรอก เสร็จแล้วเก็เรียกพยานโจทก์ พยานโจทก์บอกว่าอ่านแล้วเป็นอย่างนี้อย่างนี้ โอเค  เห็นตามนี้ ก็เลยบอกว่าไอ้นี่ผิด เพราะว่า มึงอ่านแล้ว มึงต้องเห็นอย่างนี้ ทั้งที่ตอนแรกกูอ่านกูก็ไม่รู้หรอก จะบ้ารึเปล่า!

มันมีอย่างนี้ในโลกด้วยเหรอ คำวินิจฉัยอะไรอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะในฐานะบรรณาธิการเนี่ยผมฟังคดีนี้นะครับ ผมมีอาชีพเป็นบรรณาธิการนะ ผมฟังแล้วคือศาลตัดสินอย่างนี้ บ้าไปแล้วนะ บรรณาธิการในโลกนี้ ฟังแล้วเนี่ยไม่มีทางที่จะยอมรับคำตัดสินบ้านี้ได้  คือตัวคุณเองก็วินิจฉัยไม่ได้ในครั้งแรก เสร็จแล้วคุณไปฟังการตีความแบบหนึ่งแล้วคุณก็เอามาชี้ว่าบรรณาธิการทุกคนในประเทศนี้มึงอ่านแล้วมึงต้องเห็นอย่างนี้ ไม่เห็นอย่างนี้ไม่ได้ มึงต้องเห็นอย่างนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น มึงจึงมีเจตนากระทำผิด บ้ารึเปล่า ปัญญาอ่อนอะไรอย่างนี้

ผมถามนายทวีที่เป็นอธิบดีผู้พิพากษา ผมถามว่า พิพากษาออกมาอย่างนี้ คำพิพากษาแย้งกันเอง แล้วก็พิพากษาในสิ่งที่ตัวศาลเองก็อาจจะทำผิดเองได้เนี่ยอธิบายหน่อย ไม่ยอมตอบ ผมบอกว่าคุณพิพากษาอย่างนี้ ให้ผู้พิพากษาแก้ผ้าอ่านคำพิพากษาเลยดีกว่า พิพากษาออกมาได้ยังไง ผมถามมันมันไม่ยอมตอบ จนกระทั่งมีคนมาแฮกเฟซบุ๊กผม ใครก็ไม่รู้มาแฮกเฟซบุ๊กผม เสร็จแล้วหลังจากผมใช้เฟซบุ๊กไม่ได้สองสามวัน นายทวีออกมาพูดว่า อย่าใช้ถ้อยคำเสียดสี ทิ่มแทงศาล...

คือ คำพิพากษาอย่างนี้นะ ถ้ายังเฉยได้นะโดยไม่ตั้งคำถามนะ แล้วยังไม่ยอมตอบ ถ้าไม่ด่าผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว  นี่คือประเด็น จากสองกรณีนี้ ผมไล่ดูคำพิพากษาฉบับเต็ม ไล่มาจนสุดแล้ว อ่านแล้วอ่านอีกอ่านจนนอนไม่หลับ ไปนั่งอ่าน...การพิมพ์ 2484 ไปนั่งดูทุกสิ่งทุกอย่าง ดูคำพิพากษาในอดีต ผมหาไม่พบเลยว่าอะไรคือพยานหลักฐานที่ใช้ชี้เจตนากระทำผิดของสมยศ  ไม่มีเลย มีแต่บทความสองชิ้น  การตีความของพยานโจทก์ แล้วพฤติการณ์ของสมยศคือการเป็นบรรณาธิการ จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ที่ศาลวินิจฉัยให้พ้นไปแล้วในคำพิพากษาเดียวกัน บทความสองชิ้นนี้ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ด้วยซํ้าว่าผู้เขียนมีเจตนาหมิ่นประมาท ยังไม่มีการพิสูจน์เลยนะว่าจิตร พลจันทร์ มีเจตนาหมิ่นประมาทนะ ผมหาไม่เจอเลยว่าอะไรคือพยานหลักฐานในการชี้เจตนาการทำผิดของสมยศ

การที่คำพิพากษาสมยศนี้ ผมขอใช้คำว่าวิปริตนะครับ ปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้แล้วประเทศนี้ ประชาชนยังยอมรับได้ ผมว่าประชาชนในประเทศนี้ที่ยอมรับคำพิพากษาแบบนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณต้องไปเช็คสมองนะ

มันเห็นได้ชัดว่าอุดมการณ์กษัตริย์นิยมนี่มันครอบงำผู้พิพากษาเสียจนสติไม่สมประกอบไปแล้วมั้ง  ถึงออกคำพิพากษาบ้าบอขนาดนี้ออกมาได้ ไม่ต้องพูดถึงโทษที่มันสูงจนไม่ได้สัดส่วน ไม่ต้องพูดถึงประเด็นที่เราอภิปรายมาตลอดปีกว่านี้นะ ความไม่ชอบธรรมของกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ต้องพูดเลย เอาเฉพาะคำพิพากษาตัวกฎหมายที่บังคับใช้อยู่เนี่ย พิพากษาออกมาได้ยังไงแบบนี้ ไม่มี logic ไม่มีเหตุผลอะไรเลย นี่คือประเด็นของผมนะครับ ขอบคุณมากครับ

Comments